ประวัติศาสตร์และสังคมไทยเดินทางกว่า 700 ปี และตลอดระยะเวลาอันยาวนานนี้ สิ่งที่ยังมีให้เห็นและถูกพูดถึงในสังคมอยู่เสมอคงไม่พ้น ‘มูเตลู’
ความเชื่อเรื่องเวทมนตร์ อาคม และคาถาเหนือธรรมชาติ ที่แม้ว่าจะเจือจางลงตามวิทยาศาสตร์ที่ก้าวล้ำ แต่ภาพยนตร์วัยรุ่นย้อนสมัยผสมกลิ่นอายโรแมนติก ‘อโยธยามหาละลวย’ กลับนำความพิเศษนี้มาให้ทุกท่านได้สัมผัสอีกครั้งผ่านฝีมือการแสดงของ เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข ในบท เรียวสึ และ โบว์-เมลดา สุศรี ในบท ออสร้อย
เพื่อดึงแฟนๆ เข้าสู่โลกที่รายล้อมไปด้วยเวทมนตร์คาถา THE STANDARD POP จึงถือโอกาสนี้ชวน เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข และโบว์-เมลดา สุศรี สองพระนางจากภาพยนตร์แห่งคาถาอาคม ‘อโยธยามหาละลวย’ มาร่วมพูดคุยและเสกคาถาค้นหามนต์วิเศษที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของพวกเขา ก่อนที่ภาพยนตร์จะเข้าฉายในวันที่ 2 ธันวาคมนี้
ในเมื่อภาพยนตร์พาเราย้อนสมัย ถ้าอย่างนั้นช่วยพาเราย้อนกลับไปในวันแรกที่ทั้งสองคนเข้าวงการหน่อยได้ไหมว่า ตอนนั้นรู้สึกอย่างไร ตอนที่ได้แคสต์งานแรก เล่นละครเรื่องแรก ร้องเพลงครั้งแรก
เจมส์: งานแรกของผม จริงๆ มีภาพยนตร์ก่อนหน้านั้นครับ แต่ว่าตอนนั้นอยู่พิษณุโลก ก็ยังไม่ได้อะไร แต่มาจริงจังตอนเป็นคุณชายพุฒิภัทรนี่แหละครับคือเรื่องแรกในชีวิตเลย (สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ตอน คุณชายพุฒิภัทร – 2556) แล้วก็มาแบบงงๆ ครับ เพราะว่ามาแล้วก็ได้ทำงานเลย คือเข้ากรุงเทพฯ มาแค่ 2 เดือน แทบจะไม่ได้เวิร์กช็อปหรือเรียนแอ็กติ้งเหมือนคนอื่น มันเลยกลายเป็นความตื่นเต้นที่ทำให้แค่บทสั้นๆ ผมก็จำไม่ได้แล้ว และเป็นเรื่องน่าตกใจ เพราะสิ่งที่เราเห็นตรงหน้าคือคนในทีวีที่เราไม่คุ้นเคยมาก่อน เราเคยเห็นเขาแค่ในทีวี แล้วผมอยู่ต่างจังหวัดมาโดยตลอด พออายุ 19 ปีได้เข้ามากรุงเทพฯ แล้วเห็นแบบนี้ก็มหัศจรรย์นะในตอนนั้น
เรียกว่าเป็นเวทมนตร์ไหม เป็นหนึ่งในเวทมนตร์ใหม่ในชีวิตที่เราเจอ
เจมส์: ประมาณนั้นก็ได้ครับ เพราะว่าทุกๆ อย่างมันดูเหมือนเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่เราได้อยู่ ได้สัมผัส แล้วก็ได้ทำงาน มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น ผมจำได้ว่าตัวเองมือสั่น ขาสั่น ใจสั่น แล้วก็ไม่ได้คิดเรื่องอะไรเลย คิดแต่ว่าจะทำอย่างไรดี เพื่อให้รอดไปได้เป็นวันๆ หรือว่าแค่รอดไปแค่เป็นชั่วโมง ผมก็ดีใจแล้ว ผมรู้สึกว่าเวลาในแต่ละวัน แต่ละวินาทีมันช่างช้าเหลือเกิน
แต่มันเป็นความสนุกไหม
เจมส์: เป็นความกลัวมากกว่าครับ ผมว่าอาจจะไม่ได้เรียกว่าสนุกด้วยซ้ำ มันเป็นความเครียด คือพอทำไม่ได้ก็ถูกด่า ด้วยความที่โปรดักชันละครถูกกำหนดด้วยเวลา เพราะมีเรื่องงบประมาณมาเกี่ยวข้อง ถ้าเราเล่นไม่ได้ก็จะทำให้คนอื่นช้าไปด้วย
ผมจะมือสั่นตลอดเวลา แล้วผมจำได้เลยมันมีซีนเข้ากับนางเอกเบลล่า เวลาช่วง 4 ทุ่ม ซึ่งละครจะตัดคิว 4 ทุ่ม แล้วเป็นเลิฟซีนเบาๆ ที่เรามาปลอบนางเอกแล้วก็ต้องจับมือเขา จับมือแบบอินเสิร์ตเลยนะ ก็จับแบบนี้ (ทำมือสั่น) แล้วป้าแจ๋ว (ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์) ก็วอมาด่าว่า “อะไรเนี่ย! แค่นี้ทำไมพูดไม่ได้! จะ 4 ทุ่มแล้วนะ” หลังจากนั้นมาผมสั่นกว่าเดิม ทุกคนบอกให้ผมใจเย็นๆ ผมใจเย็นอยู่ นี่คือใจเย็นแล้ว ใจเย็นได้แค่นี้ (หัวเราะ) เหมือนใจมันตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเลยตอนนั้น จำได้เลย มันน่าตื่นเต้นมากตอนนั้น
ทุกๆ อย่างมันดูเหมือนเป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่เราได้อยู่ ได้สัมผัส แล้วก็ได้ทำงาน มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้น
แล้วเมื่อไรที่เรารู้สึกว่ามัน Stable แล้ว
เจมส์: ผ่านไป 1 ปีก็ยังไม่ Stable นะครับ คือตอนนั้นซีรีส์ละคร สุภาพบุรุษจุฑาเทพ มี 5 เรื่อง (คุณชายธราธร, คุณชายปวรรุจ, คุณชายพุฒิภัทร, คุณชายรัชชานนท์, คุณชายรณพีร์) นั่นหมายความว่าต้องถ่าย 7 วัน เพราะว่าต้องไปกองอื่นด้วย ผมอยู่อย่างนั้น 7 วันเป็นเวลา 1 ปี ก็ยังไม่เสถียรอยู่ดี ด้วยความที่เรายังก้าวข้ามไม่ได้ ก่อนถ่ายทำต้องมาอ่านบทก่อน เราก็จะถูกเรียกมาอ่านบทในห้องดำ ให้จำให้ได้ ซึ่งตอนอ่านบทก็ไม่ได้เกร็ง เพราะว่าคนไม่เยอะ แต่พอเริ่มนับ ห้า สี่ โอ้โห! ตื่นเต้นมาก แล้วก็จำไม่ได้อยู่ดี คือมันก็ยังไม่เสถียร แต่ว่าก็ก้ำกึ่งมาเรื่อยๆ จนมา 2-3 ปีหลังถึงจะเริ่มชิน เพราะว่าเราเริ่มทำงานกันบ่อย ก็เริ่มชินขึ้นเรื่อยๆ
พอ Stable แล้วจากความกลัวมันเริ่มเปลี่ยนเป็นความสนุกหรือยัง
เจมส์: ยังนะ (หัวเราะ) คือในช่วงที่ผ่านไปได้มันก็ไม่สนุกอยู่ดี เพราะว่าพอเริ่มจำบทได้ มันก็มีความท้าทายใหม่ๆ เข้ามา ก็ต้องแสดงคาแรกเตอร์นั้นคาแรกเตอร์นี้ เราต้องถูกการดีไซน์ขึ้นมา เวลาเจอซีนยากๆ เราก็จะรู้สึกว่า ‘ทำไมไม่ได้สักทีวะ’ แล้วก็จะภาวนาว่า…ขอให้ฝนตก!
อันนี้คือการใช้เวทมนตร์เหรอ
เจมส์: ใช่! ผมจะภาวนาว่า ขอให้ฝนตกเถอะ โดยเฉพาะอันไหนที่ยาวๆ ซีนยากๆ ดราม่า พูดประมาณ 1-2 หน้ากระดาษ ขอเลย ฝนตกเถอะ ไม่ไหวแล้ว ไปถ่ายวันอื่นเถอะ คือขอให้มันผ่านๆ ไป ซึ่งตอนนั้นก็แค่คิดให้มันไปวันหน้า แต่เราก็ไม่ได้คิดว่าสุดท้ายก็วนมาถึงอยู่ดี แต่ก็ยังขอให้ผ่านไปก่อนเถอะ แบบไม่ไหวแล้ว แต่ก็ยังมีความท้าทายใหม่ๆ ขึ้นมาอีก
โบว์: มันจริงมาก เราเคยเป็นกันหมด เหมือนอย่างบทยาวๆ ก็จะรู้สึกว่าไม่อยากถ่ายแล้ว วันนี้ไม่ไหวแล้ว เรายังไม่พร้อม ก็ขอให้ฝนตกได้ไหม หรือไม่ก็ไฟมีปัญหา มอนิเตอร์ดับ รถไฟแบตฯ หมด ทำงานต่อไม่ได้แล้ว เราขอหมดเลย สิ่งศักสิทธิ์มีจริง
แล้วเมื่อไรที่เราเริ่มรู้สึกสนุกกับมันแล้ว
เจมส์: จริงๆ มันเพิ่งมาปีหลังๆ นี้เองครับ (หัวเราะ) มันใช้เวลานานมาก แต่ผมก็หาทางออกตลอดเวลานะ ไม่ใช่ไม่หา ก็พยายามหาว่าจะทำอย่างไรกับมันดี แต่ว่าเรื่องพวกนี้มันต้องใช้เวลาจริงๆ ต้องใช้เวลาในการสั่งสมประสบการณ์ เรารู้ว่าเขาต้องการอะไร เราต้องการอะไร และตัวละครต้องการอะไร คือเราต้องคิดให้รอบด้าน ซึ่งเวลากับประสบการณ์จะค่อยๆ ตอบเราต่อไปเรื่อยๆ
แล้วโบว์ล่ะ ตอนเข้าวงการแรกๆ เป็นอย่างไรบ้าง
โบว์: การเข้าวงการของโบว์ส่วนใหญ่จะเริ่มมาจากแม่เลยค่ะ แม่จะเป็นคนให้โอกาสตลอด ทั้งเป็นนักร้อง เป็นนางแบบ เป็นนักแสดง แม่ให้ไปเรียนแอ็กติ้ง ต่อให้จะเจอครูที่สอนไปดุไป เราก็พยายามอย่างเต็มที่นะ แล้วสุดท้ายค่อยไปบอกแม่ว่า ไม่เอาแล้ว ไม่เรียนแล้ว ครูดุ
เวลาเราไปประกวด ไปแคสต์โฆษณา ต่อให้ได้หรือไม่ได้ แม่ก็จะสอนตลอดว่าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถ้าได้ก็โชคดีไป ทำให้เราไม่ได้รู้สึกคาดหวังกับอะไร แล้วเราก็จะรู้สึกว่าไม่เป็นไร ซึ่งก็ส่งผลมาตอนโตด้วย โบว์เลยเป็นคนไม่ค่อยคาดหวังอะไรสักเท่าไรค่ะ
แต่พอแม่สอนให้โบว์ไม่คาดหวัง เราก็จะรู้สึกว่าแม่ก็อย่าคาดหวังกับโบว์ด้วย ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม
เจมส์: ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี
โบว์: เรื่องเรียนก็บอกแม่เหมือนกันค่ะ ว่าอย่าคาดหวัง อย่าหวังว่าจะได้เกรด 4
เจมส์: อันนี้เริ่มไม่ดีละ
โบว์: ไม่ มันแล้วแต่ความถนัดของคนไง แม่เล็งเห็นตั้งแต่ช่วงประถมฯ แล้วค่ะว่าเราเป็นอะไรที่ใช้สมองไม่ได้ ต้องเป็นแนวกิจกรรมมากกว่า
แต่พอเราไม่คาดหวังอะไรเลย บางทีมันไม่มีจุดหมาย ไม่มีเป้าหมาย แล้วหนูรู้สึกว่าพอเราโตมาแบบนี้ พออายุ 24 ปี เราเพิ่งจะมารู้สึกว่า เฮ้ย เราจะทำตามแม่ทุกอย่างไม่ได้ คนเรามันโตนะ คนอื่นเขาขับรถไปทำงาน มีธุรกิจ มีความคิดที่จะทำโน่นทำนี่ สร้างโน่นสร้างนี่แล้ว แต่ตัวหนูไม่คิดอะไรเลย เราเป็นคนที่แล้วแต่มาตลอดแบบนี้ หลังๆ ก็เลยอยากจะมีรีสอร์ต มีโรงแรมเป็นของตัวเอง อยากทำเพราะว่าตั้งแต่มหาวิทยาลัยแล้ว ที่เราอยากจะเรียนอะไร เราก็ไม่ได้เรียนอย่างที่เราต้องการ ก็เลยตั้งคำถามว่า ทำไมนะ
เรามีสิ่งที่เราอยากได้ เรามีสิ่งที่เราอยากทำ อยากที่จะเป็นของตัวเราเองจริงๆ ที่ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้
ตอนนี้ที่ตั้งคำถามแล้ว ตอบคำถามได้จบหรือยังว่าเราอยากได้อะไร
โบว์: เรามีสิ่งที่เราอยากได้ เรามีสิ่งที่เราอยากทำ อยากที่จะมีเป็นของตัวเราเองจริงๆ ที่ไม่ใช่ว่าอะไรก็ได้ เริ่มดื้อขึ้น แล้วแม่ก็จะไม่ชินกับเรา แต่ก็เป็นอะไรที่ทุกคนจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง เหมือนที่หลายๆ คนก็จะบอกว่า ผู้ใหญ่จะมองว่าเราเป็นเด็กเสมอ อย่างไรเราก็เป็นเด็ก เวลาหนูอยู่กับแม่ หนูเป็นเด็กอยู่แล้ว เพราะเราก็รู้สึกว่าแม่ก็ทำให้เรา เราไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมาก ทุกวันนี้ก็เลยต้องจับเข่าคุยกันอยู่เรื่อยๆ
แล้วเจมส์มีเรื่องอะไรแบบนี้บ้างไหม
เจมส์: ของผมไม่มีครับ แต่ก็ไม่ค่อยแน่ใจ อย่างครอบครัวผม เขาก็คงคาดหวังแหละ แต่ผมก็คงไม่ได้ทำอะไรตามที่เขาคาดหวังเท่าไร จนเขาคงชินไปเอง แล้วผมทำสิ่งนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาก็คงเห็นว่าเราเอาตัวรอดได้
โบว์: แล้วป้าข้างบ้านคาดหวังกับเราไหม ป้าข้างบ้านคาดหวังกับเราเสมอนะ
แล้วพวกป้าข้างบ้าน ที่ไม่ได้หมายถึงป้าข้างบ้านจริงๆ แต่เป็นเสียงลือ เสียงเล่าอ้างต่างๆ เสียงพวกนี้มีผลกับเราไหม
โบว์: ของโบว์ไม่ค่อยมีผลข้างเคียงอะไรกับพวกนี้เท่าไร ด้วยความว่าน่าจะอยู่วงการมาตั้งแต่เด็กๆ ด้วย ก็เลยได้เรียนรู้ว่าเราต้องเป็นตัวเอง จะให้อะไรมาเปลี่ยนเราไม่ได้
เจมส์: คือผมไม่ค่อยรู้เหมือนกันครับ อาจจะมีคนพูดกันแหละ แต่ผมไม่ค่อยได้รับมาฟังเลย ด้วยความที่ผมดื้อมาก ขนาดกับพ่อแม่ก็ดื้อ
โบว์: ดื้อเงียบ
เจมส์: ใช่ แต่ว่าคือผมก็ไม่ได้ปฏิเสธนะ แต่ก็ไม่ทำ ด้วยความที่ผมเป็นคนขี้เกียจอธิบาย ไม่ชอบความขัดแย้ง และชอบหนีปัญหา ในช่วงหนึ่งเราเลยพูดไปส่งๆ แล้วก็คิดว่าเดี๋ยวมันก็มีทางออก ไม่อยากให้คนอื่นมายุ่ง ก็เลยเป็นที่มาของเพลง ‘ดื้อ’ ของผม ขอ Tie-in เลยนะ (หัวเราะ)
มิวสิกวิดีโอเพลง ดื้อ (Cause of you)
ภาพยนตร์เรื่องนี้มันเกี่ยวกับไสยศาสตร์ใช่ไหม ก็เลยอยากรู้ว่าสองคนมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์มากน้อยแค่ไหน
เจมส์: ของผมไม่เลยครับ คือผมด้วยความที่ดื้อแหละ ก็เลยกลายเป็นว่าเราเชื่อตัวเองเป็นหลัก แต่ว่าไม่ได้ขวางโลกขนาดนั้นนะครับ ถ้าเกิดใครอยากไปมูเตลูอะไร ผมก็ไปร่วมได้ พูดคุยได้เป็นปกติ ไม่ได้แอนตี้ขนาดนั้น
โบว์: สำหรับโบว์เป็นอะไรที่สนุกนะของพวกนี้ อย่างดูดวง แล้วยิ่งเขาทักแม่นเราว่ามันใช่มากๆ ยิ่งแบบ Amazing ได้ไงอะ
เจมส์: ผมว่าจริงๆ ถ้าเกิดเจอคนแม่นๆ ก็อาจจะสนุกก็ได้นะ แต่พอเราไม่ได้เชื่อ ก็เลยไม่ได้ขวนขวาย มันก็เลยอาจจะไม่ได้เจอคนที่คลิกกันก็ได้
พอเรามีความเชื่อเรื่องนี้ เราได้มีการไปขอพร ไหว้พระ ทำบุญ แก้เคล็ดแบบนี้ไหม
โบว์: ส่วนใหญ่จะสวดมนต์ค่ะ ในส่วนของโบว์ถ้าปฏิบัติเองจะดี บางคนอาจจะไปขอพรพระแล้วดี เหมือนคนที่เขาถูกหวยบ่อยๆ นั่นคือเขาขอเก่ง ขอแล้วได้ แต่ของโบว์ต้องทำเองถึงจะได้
ช่วงหลังๆ เราจะเห็นภาพยนตร์หรือละครหลายเรื่อง เอาประวัติศาสตร์มาตีความใหม่ คิดว่าอะไรคือการตีความที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ‘อโยธยา’ ในเรื่องนี้
เจมส์: ส่วนใหญ่ผมมักจะได้เล่นละครพีเรียดที่มีแต่เรื่องราวในประวัติศาสตร์ การเสียกรุง และการรักษาเอกราช แต่เรื่องนี้จะเล่าถึงเรื่องราวของวัยรุ่นสมัยนั้น วัยรุ่นจริงๆ เลยนะครับ ที่ไปเที่ยวโรงชำเราหรือโคมแดง แล้วก็มีเรื่องของเวทมนตร์คาถา ไสยศาสตร์ที่อยู่ในนั้น มีการสักยันต์มาเพื่อต่อสู้กัน แก่งแย่งชิงดีกัน ซึ่งผมว่ามันเป็นอีกรสชาติหนึ่งของภาพยนตร์พีเรียดของไทย
ผมว่าถ้าเรามองภาพรวมๆ ถ้าอังกฤษมี Harry Potter ผมว่าในไทยพีเรียดเรื่องนี้ มันเป็นความแฟนซีของมนตร์ดำหรือเวทมนตร์คาถา มันก็สนุกดี เราเคยได้ยินเรื่องแบบนี้กันมา การรักษาด้วยยาผีบอก หรือการเสกข้าวสารอะไร ซึ่งความแฟนซีแบบนี้มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะสามารถสะท้อนประวัติศาสตร์ สะท้อนวัฒนธรรมในยุคสมัยนั้นได้ ว่าคนไทยในสมัยก่อนมีความเชื่อในสิ่งนี้อยู่
โบว์: เหมือนภาพยนตร์เรื่องนี้เจาะให้ละเอียดขึ้นในพาร์ตที่คนไม่เคยสนใจ
ตัวอย่างภาพยนตร์ อโยธยามหาละลวย
เราค่อนข้างสนใจตัวละคร ‘เรียวสึ’ มากๆ เพราะรู้สึกว่าไม่ค่อยเห็นใครหยิบตัวละครลูกครึ่งญี่ปุ่นในสมัยอยุธยามาบอกเล่าเท่าไร
เจมส์: ใช่ ประเด็นนี้ก็สำคัญครับ เพราะผู้กำกับ พี่ใหม่ ภวัต และทีมสร้างทั้งหมดตั้งใจว่า จะเล่าประวัติศาสตร์ในตอนนั้นที่มีคนต่างชาติโล้สำเภามาค้าขาย ซึ่งเป็นสีสันของยุคนั้น เพื่อให้เห็นสภาพสังคมในตอนนั้นว่าเป็นอย่างไร
คือตัวเรียวสึ เป็นตัวละครที่มีปมด้วยความที่เสียพ่อและแม่ไป แล้วถูกเลี้ยงโดยหลวงตา เลยมีคำถามอยู่ในใจเยอะ พอออกเดินทางเพื่อที่จะหาคำตอบให้ตัวเอง แต่ดันไปเจอออสร้อย เป็นคำตอบที่อยู่ระหว่างทาง แบบอะไรก็ไม่รู้
โบว์: ด้วยความสวยและความสาวของหนู ชนะคาถาไปเลย ต้องไปดูนะว่าทำไมเรียวสึถึงมีแต่หนูในหัว
เจมส์: ส่วนคาถาอาคมในตัวบทภาพยนตร์ ผมถูกสอนขึ้นมาเพื่อใช้ปกป้องตัวเอง หลักๆ เป็นเรื่องของการต่อสู้ และคาถาอาคมด้านการต่อสู้ แต่ว่าหลวงตาก็จะบอกเสมอว่า ห้ามไปใช้เพื่อทำร้ายผู้อื่น
เล่าเรื่องประสบการณ์ฉากแอ็กชันให้ฟังหน่อย
เจมส์: พอเราเล่นหนังบู๊ หรือฉากแอ็กชันก็ต้องทำใจไว้ก่อนเลยว่า แผลเต็มตัวแน่ๆ ซึ่งก็เลือดทุกวันจริงๆ ที่ออกบู๊ ในหนังเรื่องนี้มันยากตั้งแต่เราต้องใช้ดาบสองมือแบบดาบซามูไร เพราะเราเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น แล้วการบู๊ก็ต้องแยกร่าง กระโดดข้ามช้าง โน่นนี่นั่นเต็มไปหมดเลย ก็ต้องใช้จินตนาการในการเล่นด้วย ก็แฟนซีและสนุกดี
เราเป็นผู้หญิงก็สามารถนำผู้ชายได้ ช่วยได้เท่าที่เราทำได้ สามารถดูแลตัวเองได้ แล้วก็ค่อยพึ่งพาผู้ชายเฉพาะเรื่องที่จำเป็นต้องพึ่งพา
แล้วในส่วนของ ‘ออสร้อย’ ตัวละครนี้มีความน่าสนใจอย่างไร แล้วมีความเหมือนหรือแตกต่างจากโบว์อย่างไร
โบว์: ถ้าเป็นพาร์ตของออสร้อย ตัวนางเอกจะอยู่ในโรงชำเราเลยค่ะ เป็นนักร้อง แล้วก็จะมีอาคมมีคาถาเหมือนกัน เป็นคาถาเมตตามหานิยม แล้วก็คาถาป้องกันตัวไม่ให้เจออันตราย แต่ว่าไม่สามารถสู้กับคนที่มีอาคมแรงกว่าตัวเรา อย่างเช่น พระเอก หรือคนที่เข้ามาจีบเรา ตัวออสร้อยเองเป็นคนค่อนข้างเรียบร้อย แต่จะทำให้เห็นผู้หญิงในมุมที่ไม่ว่าจะสมัยไหนก็สามารถเป็นคนที่เริ่มก่อนได้ ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม เช่น การเริ่มจีบก่อน
ถ้าเทียบกับโบว์ ก็จะมีทั้งเหมือนและต่างบ้าง ความคล้ายก็คือเราคิดเหมือนกับออสร้อยเรื่องการเริ่มจีบใครก่อน เราคิดว่าจีบก่อนจะเป็นอะไร ไม่เป็นไรนิ
เจมส์: ตัวออสร้อยในวัฒนธรรมสมัยก่อนมันอาจจะขัดก็ได้ แต่ถ้าเกิดเป็นสมัยนี้มันคือเรื่องปกติ อาจจะเป็นการสะท้อนว่า จริงๆ แล้วความรักอาจจะไม่ได้มีถูกมีผิด ไม่ได้มีว่าใครจะต้องเป็นคนเริ่มก่อน
รู้สึกว่าตัวละครตัวนี้มีความเป็น Feminist เยอะมากน้อยขนาดไหน
โบว์: ค่อนข้างเลยค่ะ คือตัวละครตัวนี้มีศักดิ์ศรีมากๆ มองว่าการรักเดียวใจเดียวเป็นสิ่งสำคัญ แล้วก็มองว่าเราเป็นผู้หญิงก็สามารถนำผู้ชายได้ ช่วยได้เท่าที่เราทำได้ สามารถดูแลตัวเองได้ แล้วก็ค่อยพึ่งพาผู้ชายเฉพาะเรื่องที่จำเป็นต้องพึ่งพา
ถ้าในชีวิตจริงเราสามารถมีคาถาอาคมติดตัวได้หนึ่งอย่าง อยากมีคาถาอะไร
เจมส์: ผมอยากให้ทุกคนมีความสุขเฉยๆ ครับ มันจะดูพระเอกไปไหม แต่ผมเป็นสายประนีประนอมอยู่แล้ว เวลาทำงานถ้าเกิดมีเรื่องอะไรที่แย่ๆ เราจะรู้สึกหม่นหมองไปด้วย เราทำงานหนักอยู่แล้ว ถ้าเราได้ทำงานด้วยความสุข ผมว่าก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีกับตัวผมเองและคนอื่นด้วย
โบว์: ของโบว์ก็คงเป็นเมตตามหานิยม ให้คนอยู่ด้วยแล้วมีความสุข สนุกไปกับเรา เอ็นดูเราเวลาทำงานด้วย เพราะโบว์เป็นประเภทที่คนเห็นครั้งแรกอาจจะไม่ได้ชอบ ต้องได้คุยและรู้จักกันก่อน ถึงจะผ่อนคลายขึ้น
อะไรคือการกระทำที่จะทำให้เกิดเมตตามหานิยมได้ดีที่สุด
โบว์: ทำตัวน่ารัก ไม่เรื่องมาก อะไรที่เรารู้สึกว่ามันน่ารัก เราก็ทำให้น่ารักสิ ถ้าเราคิดแต่เรื่องดีๆ หน้าตาเราก็จะแจ่มใส คนก็อยากเข้าหาเรามากขึ้น
เจมส์: ในความคิดผม ผมว่าเราต้องเป็นผู้ให้ เมื่อเราตั้งใจที่จะให้จริงๆ เดี๋ยวเราก็จะได้สิ่งที่ดีกลับมาเอง เป็นผู้ให้โดยพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด หรือเรื่องที่ยากที่สุดก็ตาม ถ้าเกิดเราเป็นผู้ให้ เมื่อไรที่เราให้เขาแล้ว เราและผู้รับก็จะมีความสุข
ณ ตอนนี้ คิดว่าอะไรคือคาถาสำคัญที่ทำให้เรายังรักษามาตรฐานของตัวเอง ให้อยู่ตรงนี้ได้ อยู่ในวงการบันเทิงได้
โบว์: ความเป็นตัวเอง การเป็นตัวเองดีที่สุดแล้ว ไม่ต้องไปเปรียบว่าเราต้องไปทำตามคำพูดใครหรือว่าเหมือนใคร หรือทำตามบรรทัดฐานที่ใครวางไว้ จะมียุคหนึ่งที่นางเอกต้องเรียบร้อย ต้องไม่พูดก่อน และมีข้อห้ามเยอะ โบว์เลยอยากมาเป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ที่มาเปลี่ยนจุดยืนของนักแสดงหญิง
เราเคยคิดจะเปลี่ยนตัวเองให้ลองเรียบร้อยเหมือนคนอื่น แล้วจำไม่ได้ จำคาแรกเตอร์ตัวเองตอนเรียบร้อยไม่ได้ (หัวเราะ) กลัวทำอะไรไม่ต่อเนื่อง ก็เลยเลือกที่จะเป็นตัวเองดีกว่า มันเป็นเรื่องปกติที่จะทำอะไรก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วต้องเป็นเรื่องที่ดีที่ถูกต้องนะ ไม่ใช่ว่าไปยืนกระดกเหล้าให้เด็กๆ เห็น หรือเชิญชวนให้ใครสูบบุหรี่แบบนั้น
หนึ่ง เราต้องรู้จักตัวเองก่อน สองคือเราต้องรู้จักคน สังคม วัฒนธรรม ต้องรู้ให้รอบด้านให้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร และสามก็คือต้องต่อสู้กับตัวเองให้ได้
เจมส์เคยอยู่ในช่วงเวลาแบบนั้นไหม ค้นหาว่า ‘พระเอก’ ต้องทำตัวแบบไหน
เจมส์: คือช่วงแรกผมก็ไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำ ว่าตัวผมจริงๆ เป็นอย่างไร เพราะผมเข้ามาและถูกหล่อหลอมให้เป็นอย่างนั้นไปโดยปริยาย แต่ว่าพอสักพักหนึ่ง ผมเริ่มทะเลาะกับตัวเองไปเรื่อยๆ จนตกตะกอนแล้วก็กลายเป็นผมในทุกวันนี้
ย้อนกลับไปที่คำถามก่อนหน้านี้ อะไรคือคาถาสำคัญในการรักษามาตรฐานในวงการบันเทิงสำหรับเจมส์
เจมส์: สำหรับผมคือ หนึ่งเราต้องรู้จักตัวเองก่อน สองคือเราต้องรู้จักคน สังคม วัฒนธรรม ต้องรู้ให้รอบด้านให้ได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคืออะไร และสามก็คือต้องต่อสู้กับตัวเองให้ได้
เรามองอนาคตของตัวเองในวงการไว้ว่าอย่างไร หรือสิ่งที่อยากจะทำต่อไปในอนาคต
โบว์: ณ ตอนนี้โบว์รู้สึกว่าทำอะไรก็ได้ที่มีความสุข ใช้ความสุขนำทาง ส่วนแพลนทำรีสอร์ตก็เป็นเรื่องของอนาคต แต่ตอนนี้ซื้อที่เรียบร้อยแล้ว เพราะช่วงโควิดขายที่กันเยอะมาก เราก็เลยซื้อไว้แล้วให้เขาทำนาไปก่อน ซึ่งภาพรีสอร์ตในฝันของเราก็คงต้องมีต้นไม้เยอะๆ ห้องสบายๆ เหมือนได้หลุดไปอยู่อีกโลกหนึ่ง
เจมส์: ผมก็คงพัฒนาในสิ่งที่ทำอยู่ให้ดีขึ้น จริงๆ มันดู Simple มาก แต่ผมทำมาเกือบหมดทุกอย่างในโลกแล้วนะ แล้วตอนนี้ก็ยังทำอยู่ด้วย แต่ถ้าสโคปแค่ในวงการบันเทิงแล้วเรามีความสามารถพอ ก็คงอยากยกระดับผลงานในวงการบันเทิงไทยให้ดีขึ้น
แล้วในส่วนของผลงานเพลงล่ะ
เจมส์: ก็ทำไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้ Succeed หรอก อาจจะเป็นเพราะว่าผมยังหาตัวเองไม่เจอ ที่มันรวมถึงตัวเพลงด้วย สไตล์การร้องด้วย การทำเพลงด้วย และการโปรโมตด้วย
ด้วยความที่ผมแอบเป็น Perfectionist เบาๆ เวลาที่ผมรู้สึกติด คือผมก็จะทิ้ง แล้วผมก็รู้ตัวว่างานนี้ ผมมีอาการทิ้งเบาๆ แล้วก็กลับมาปลอบใจตัวเองว่า มันอาจจะเป็นการทดลองก็ได้เนอะ แล้วก็คิดไว้ว่า ถ้าเกิดครั้งนี้ทำแล้วมันเป็นแบบนี้ ก็แค่ทำต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้แค่นั้นเอง
โบว์: โบว์รู้สึกว่าเสียงพี่ดีมากเลย แต่แค่พี่ยังหาดนตรีที่เข้ากับเสียงพี่ไม่เจอ
เจมส์: คืออย่างในงานเพลง มันเหมือนงานแสดงของผมตอนแรกเลย คือผมรู้ว่า ผมอยากทำอะไร แต่ผมไม่รู้ว่าผมจะทำมันอย่างไร
สุดท้ายแล้วในฐานะของนักแสดงและคนที่อยู่ในวงการละคร เวลามีคนพูดถึงละครในแง่ที่ไม่ค่อยสร้างสรรค์สังคม และติดภาพเดิมอยู่ เรารู้สึกอย่างไรกับคำวิจารณ์เหล่านี้
เจมส์: มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ คือในมุมหนึ่งเขาก็จะพยายามบอกว่านี่คือการสะท้อนสังคม วัฒนธรรมที่เป็นอยู่ แต่เรื่องจริงๆ ผมว่าละครไม่ได้ฉีกจากเวย์เดิม เพราะมันมีเรื่องให้คิดเยอะ ในเรื่องของการทำ เรื่องคนทำ เรื่องของผู้ฟัง ผู้ชมในแบบเก่าที่มีอยู่
ซึ่งคนใหม่ๆ ที่เข้ามา เขาก็จะไปแย่งพื้นที่อันเก่าตรงนั้นไม่ได้อยู่แล้ว เขาก็จะต้องไปหาเวย์ใหม่ เรื่องแบบนี้เลยไม่มีวันตายตัว เพราะสุดท้ายวันหนึ่งเขาก็ต้องหาคอนเทนต์ใหม่ๆ ที่ไปเสิร์ฟคนสมัยใหม่ หรือคนที่คิดแบบเขาอยู่แล้ว
โบว์: เราก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน คิดแบบที่คนอื่นคิด แล้วหนูก็เห็นด้วยกับพี่เจมส์ สิ่งที่เราทำได้ก็คือทำในส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด
เจมส์: ใช่ หน้าที่ของนักแสดงเราก็คือ อยู่ตรงไหนก็ได้ที่เราชอบ และทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ ถ้าเกิดเราไม่ชอบในส่วนนี้ เราก็แค่ไปทำในส่วนอื่น