วันนี้ (30 เมษายน) จิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีบริษัทเอกชนที่รับจัดอันดับอย่าง บริษัท มูดี้ส์ เรทติ้งส์ ออกมาปรับอันดับความน่าเชื่อถือของไทยลงไปหนึ่งระดับ แต่ยังคงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้สกุลเงินบาทแบบไม่มีหลักประกันของไทยอยู่ที่ระดับ Baa1 และคงอันดับความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้ระยะสั้น สกุลเงินต่างประเทศของไทยอยู่ที่ระดับ P-2 เนื่องจากมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเก็บภาษีเพิ่มเติม
“ผมคิดว่าการปรับลดครั้งนี้เร็วเกินไป เพราะทั้งประเทศไทยและประเทศทั่วโลกก็อยู่ระหว่างการเจรจาพูดคุย ยังไม่มีผลใดๆ ออกมาชัดเจน หากผลออกมาเป็นบวกมูดี้ส์จะปรับอย่างไร” จิรายุกล่าว
จิรายุกล่าวอีกว่า รัฐบาลได้เตรียมความพร้อมในการรับมือแล้วในทุกมิติในเรื่องกำแพงภาษี ขณะที่นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังนี้จะเน้นเครื่องยนต์ใหญ่สำคัญ 4 เครื่อง ที่รัฐบาลจะออกมากระตุ้น เช่น
- การบริโภคภาคเอกชนภายในประเทศ
- การค้าต่างประเทศ
- การใช้จ่ายภาครัฐและการลงทุน ซึ่งรวมถึงการลงทุนภาคเอกชน (Private Investment)
- การลงทุนภาครัฐ
จิรายุกล่าวอีกว่า รายงานของมูดี้ส์ยังให้ความเชื่อมั่นด้วยการคงอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ Baa1 ซึ่งสะท้อนถึงสถาบันการเงินและระบบธรรมาภิบาลของไทยที่ยังมีความแข็งแกร่ง ความสามารถในการชำระหนี้ได้ดี และสถานะด้านต่างประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง ซึ่งรวมถึงการมีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศในระดับสูง
ทำให้เห็นว่าแม้ทั่วโลกจะโดนปัญหารุมเร้าจากนโยบายภาษีสหรัฐฯ แต่เชื่อมั่นว่าในช่วงครึ่งปีหลังเมื่อสถานการณ์คลี่คลายประเทศไทยจะมี GDP ที่ดีขึ้น แม้ว่ามูดี้ส์คาดการณ์ไว้ว่าไทยจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 2.0 และถือเป็นตัวเลขที่อยู่ในกราฟ GDP เติบโตไม่ได้ติดลบเหมือนบางประเทศ ทำให้มั่นใจว่านโยบายต่างๆ ของรัฐบาลในครึ่งปีหลังนี้จะทำให้ GDP ของประเทศมีโอกาสเติบโตสูงขึ้นอย่างแน่นอน
ส่วนกรณีที่ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกมากล่าวโทษที่ไทยถูกปรับลดความน่าเชื่อถือ เป็นเพราะนโยบายรัฐบาล จิรายุกล่าวว่า อยากเรียกร้องให้พรรคฝ่ายค้านเบาได้เบา ถ้าลดการเมืองลงได้บ้างก็จะเป็นพระคุณยิ่ง เพราะอย่างน้อยท่านก็เคยเป็นรัฐมนตรีคลังในสมัยนายกยิ่งลักษณ์พรรคเพื่อไทย และข้อมูลก็ชัดเจนว่าเป็นเรื่องจากปัญหาภาษีสหรัฐฯ