×

จิราพรแจงงบซอฟต์พาวเวอร์ รัฐบาลเริ่มยังไม่ครบปี งบ 69 มีเพียง 4 พันล้าน วอนฝ่ายค้านเปิดตาเปิดใจ ชี้อยากเห็นผลงานดูได้ที่เพจ THACCA

โดย THE STANDARD TEAM
31.05.2025
  • LOADING...

วันนี้ (31 พฤษภาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ ที่มี ภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง เป็นประธานการประชุม วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 วงเงิน 3,780,600 ล้านบาทวาระแรก เป็นวันที่สุดท้าย

 

จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีลุกขึ้นชี้แจงงบประมาณในสัดส่วนของนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ว่า การขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาลนั้นมีการขับเคลื่อนในสามส่วน ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มีการพัฒนาระบบนิเวศที่เรียกว่า อีโคซิสเต็มส์ เพื่อให้อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์พาวเวอร์สามารถที่จะเติบโตและก้าวหน้าไปได้ รวมถึงมีการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์มีการเสริมทักษะบ่มเพาะสร้างแรงงาน และมีการเปิดตลาดโลก ขยายโอกาส และแสวงหาความร่วมมือกับต่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศ

 

ส่วนที่เพื่อนสมาชิกอภิปรายจำนวนงบประมาณในการขับเคลื่อนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับซอฟต์พาวเวอร์ว่า รัฐบาลได้ใช้งบประมาณตั้งแต่ปี 2567-2569 ไปแล้วกว่า 1.8 หมื่นล้านบาท แต่ยังไม่เห็นผลงานที่คุ้มค่ากับงบประมาณที่ใช้ไปนั้น จิราพรกล่าวว่า งบประมาณที่มีการขอภายใต้ยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ในปี 2569 มีเพียง 4 พันล้านบาทเท่านั้น

 

แต่สมาชิกบางท่านได้นำตัวเลขจากที่อื่นมารวมเพิ่ม ซึ่งไม่ว่าจะเป็นตัวเลขใดก็ตาม ประเด็นสำคัญคือ งบประมาณปี 2569 ยังอยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาวาระแรก ยังไม่มีการอนุมัติหรืออนุมัติงบประมาณจากรัฐสภา งบปี 69 ยังไม่ได้ผ่านการพิจารณาในสภา แต่กลับนำตัวเลขมารวมและตั้งคำถามถึงผลงานว่าใช้งบไม่คุ้มค่า ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด หรืออาจจะตีมึน หรือมึนจริงๆ ก็เป็นได้ และคนที่ควรโครงการฝึกสตินั้นคงไม่ใช่คณะรัฐมนตรี แต่ควรจะเป็นเพื่อนสมาชิกต่างหากที่ควรเข้าร่วมเป็นคนแรก

 

จิราพรกล่าวต่อว่า งบประมาณที่ใช้ในการขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ขณะนี้ยังไม่ถึง 1 หมื่นล้านบาท การเริ่มใช้งบประมาณครั้งแรกในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา หากนับจากวันนั้นจนถึงปัจจุบัน ซึ่งยังไม่สิ้นสุดปีงบประมาณ 2568 เท่ากับว่ายังไม่ครบหนึ่งปีเต็ม

 

แต่ถือเป็นครั้งแรกที่รัฐบาลขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์อย่างจริงจัง และเป็นครั้งแรกเช่นกันที่มีการดึงภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางและการใช้งบประมาณอย่างเป็นรูปธรรม ปัจจุบันอยู่ในช่วงของการเปลี่ยนผ่าน ที่มุ่งหลอมรวมการทำงานระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเข้าด้วยกัน ซึ่งช่วงเริ่มต้นนี้จึงถือเป็นความท้าทายสำคัญที่คณะกรรมการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ต้องเผชิญ

 

นโยบายนี้ไม่ได้มีเพียงมิติด้านการใช้งบประมาณเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ เพื่อลดอุปสรรค และผลักดันให้เกิดสิทธิประโยชน์ที่เอื้อต่อการพัฒนา ซึ่งในหลายด้านก็ได้มีการดำเนินการไปแล้ว ในประเด็นที่มีสมาชิกบางท่านระบุว่ามีการตั้งอนุกรรมาธิการหลายคณะ

 

จิราพรชี้แจงว่า เนื่องจากการขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์มีความเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน จึงจำเป็นต้องมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันภายใต้แผนงานเดียวกัน เพื่อลดความซ้ำซ้อน การที่มีเลขาธิการจากหน่วยงานต่างๆ เข้ามาช่วยประสานงานและร่วมดำเนินการถือเป็นทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งจะช่วยให้การจัดทำงบประมาณและการขับเคลื่อนนโยบายมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

เช่น การเข้าร่วมเทศกาลเมืองคานส์ ในอดีตหน่วยงานต่างๆ มักแยกกันดำเนินงาน แต่ในปัจจุบันได้มีการทำงานภายใต้แผนงานเดียวกัน ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ชัดเจนและประสบความสำเร็จมากยิ่งขึ้น โดยภายหลังเทศกาลเมืองคานส์ ยังมีการจัดแสดง คูหาร่วม ที่ผสมผสานการนำเสนอศิลปวัฒนธรรม อาหารไทย การท่องเที่ยว และการเจรจาธุรกิจ เช่น การขายลิขสิทธิ์ให้กับนักลงทุนต่างชาติ

 

ดังนั้น ข้อกล่าวหาว่าขาดแผนงานร่วมกันจึงไม่ตรงกับความเป็นจริง เนื่องจากรัฐบาลได้มีการปรับรูปแบบจากการดำเนินงานแบบแยกส่วน มาเป็นการทำงานแบบบูรณาการภายใต้ทิศทางเดียวกัน

 

นอกจากนี้ การเชิญภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมยังถือเป็นจุดแข็งสำคัญ ที่ช่วยสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ โดยเฉพาะในการจัดงานระดับนานาชาติ เช่น งาน Thai Festival ในแต่ละประเทศ ซึ่งเมื่อมีการกำหนดทิศทางที่ชัดเจนภายใต้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กระทรวงต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงสามารถรวมพลังในการนำเสนอสินค้าและบริการ ทั้งด้านดนตรี อาหาร ศิลปะการแสดง และธุรกิจท่องเที่ยว ได้อย่างมีเอกภาพในพื้นที่เดียวกัน

 

จิราพรกล่าวต่อว่า รัฐบาลใช้เวลาในการขับเคลื่อนนโยบายซอฟต์พาวเวอร์ยังไม่ถึงหนึ่งปี โดยได้มีการสนับสนุนการจัดเทศกาลต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงการสนับสนุนภาพยนตร์ไทยให้เข้าร่วมเทศกาลภาพยนตร์ระดับโลก เช่น รอตเตอร์ดัม, เบอร์ลิน, โตเกียว, นิวยอร์ก, สิงคโปร์, ปูซาน, เวนิส, ไทเป และอื่นๆ

 

นอกจากนี้ยังมีการนำภาคเอกชนไปร่วมงานมหกรรมหนังสือระดับนานาชาติ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดี ส่วนไทยพาวิลเลียนก็มีผู้เข้าชมกว่า 250,000 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 400% ถือเป็นแนวโน้มที่ดีและสะท้อนถึงการเติบโตของอุตสาหกรรมซอฟต์พาวเวอร์ของไทยในเวทีโลก

 

ในส่วนของนโยบาย 1 ซอฟต์พาวเวอร์1 ครอบครัวนั้น จิราพรชี้แจงว่า เป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างเป็นระบบ โดยใช้งบประมาณในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปีเพื่อฝึกอบรมครูผู้สอนให้สามารถขยายเครือข่ายการสอนครอบคลุมทั่วประเทศ รองรับโครงการ 1 ซอฟต์พาวเวอร์ 1 ครอบครัวได้ทั้งรูปแบบออนไซต์และไฮบริด โดยยังสามารถรักษามาตรฐานของหลักสูตรไว้ได้

 

สำหรับเทศกาลสงกรานต์ การจัดอีเวนต์หรือเฟสติวัลต่างๆ ถือเป็นหนึ่งในเครื่องมือของการประชาสัมพันธ์ เพื่อสร้างการรับรู้ในวงกว้าง ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ เทศกาลสงกรานต์จึงเป็นตัวอย่างของการขับเคลื่อน Festival Economy ที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับเทศกาลท้องถิ่นของไทยให้เป็นที่รู้จักและดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น

 

รัฐบาลมีเป้าหมายให้ประเทศไทยสามารถจัดเทศกาลได้ตลอดทั้งปี ไม่มีช่วงโลว์ซีซัน และได้ลงทุนเพื่อยกระดับเทศกาลวัฒนธรรมที่มีศักยภาพ เช่น สงกรานต์ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี ให้กลายเป็นเทศกาลที่ชาวโลกจดจำและอยากมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพราะการปล่อยให้เติบโตโดยธรรมชาติโดยไม่มีการส่งเสริมจะไม่สามารถสร้างความสนใจในระดับโลกได้

 

นอกจากนี้ เป็นครั้งแรกที่บนเวที World Economic Forum มีการจัดเสวนาเฉพาะเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ และได้เชิญ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย ไปบรรยายในหัวข้อนี้โดยเฉพาะ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ของไทยเริ่มส่งผลกระทบ (Impact) ในระดับนานาชาติ และได้รับการยอมรับอย่างจริงจัง

 

จิราพรกล่าวสรุปว่า การรับรู้ของประชาชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่เรื่องกางเกงช้าง ตามที่สมาชิกบางท่านอภิปราย พร้อมย้ำว่า อยากให้ท่านสมาชิกเปิดหู เปิดตา และเปิดใจ อย่าอภิปรายเพียงเพราะเป็นฝ่ายค้าน และต้องค้านทุกเรื่องซอฟต์พาวเวอร์เป็นนโยบายสำคัญภายใต้การนำของแพทองธาร ที่มุ่งเน้นการลงทุนในระยะยาว เพื่อวางรากฐานของประเทศด้วยทุนทางวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการสร้างภาพลักษณ์และขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้กับประเทศ แม้จะยังไม่เห็นผลในทันที แต่ขณะนี้รัฐบาลได้เริ่มลงมือทำแล้ว

 

“หากท่านสมาชิกต้องการเห็นผลงาน สามารถติดตามได้ทางเพจ THACCA ทุกช่องทาง ทุกแพลตฟอร์ม” จิราพรกล่าวปิดท้าย

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising