หนึ่งในกรณีศึกษาที่กำลังเป็นกระแส คือการไลฟ์สดขายสินค้าของ ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ ที่พลิกสถานการณ์ดราม่าให้กลายเป็นยอดขายระดับร้อยล้านบาท สะท้อนปรากฏการณ์ Human Commerce ซึ่งตอกย้ำว่า แม้เทคโนโลยีและอัลกอริทึมจะมีบทบาทสำคัญในยุคดิจิทัล แต่ มนุษย์ ยังคงเป็นพลังขับเคลื่อนแท้จริงของแบรนด์
MI GROUP ในฐานะ Trusted Advisor ด้านสื่อ ข้อมูล และพฤติกรรมผู้บริโภค มองว่า โมเดล Live Commerce ไม่ใช่เรื่องใหม่ในต่างประเทศ แต่สำหรับตลาดไทย ปรากฏการณ์นี้เป็นสัญญาณการยกระดับจากการตลาดเชิงคอนเทนต์ (Content Marketing) สู่การตลาดเชิงความสัมพันธ์ ที่ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อไม่ใช่เพราะถูกชักจูง แต่เพราะเชื่อใจผู้ขาย
อีกทั้ง ปรากฏการณ์ เจนนี่ ยังสะท้อนจุดเปลี่ยนสำคัญของ Live Commerce ไทย จากการขายของไปสู่การสร้างความเชื่อใจ ด้วยอารมณ์ ความจริงใจ และการสื่อสารแบบมนุษย์อย่างแท้จริง
เปิด 10 บทเรียนธุรกิจจากกรณีศึกษา ‘เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น’ โดย MI GROUP
1. Performance Pitch เมื่อ Creator กลายเป็นนักขายมืออาชีพ
Live Commerce ไม่ใช่แค่พื้นที่ คอนเทนต์ แต่คือ สนาม Performance ที่วัดผลได้จริงในเวลาจำกัด เจนนี่ใช้พลังการพูดแบบ elevator pitch สื่อสารตรงจุด สร้างแรง FOMO และปิดการขายได้ทันที กลายเป็นต้นแบบใหม่ของ Creator Economy ที่เน้นยอดขายจริงมากกว่าค่ารีวิว นักการตลาดควรมอง Live Commerce เป็น Performance Media ที่วัดผลได้ทั้งยอดขายต่อเวลาและ conversion ต่อ engagement
2. Human Code เมื่อมนุษย์คืออัลกอริทึมใหม่ของแบรนด์
ความจริงใจ กลายเป็นสูตรคำนวณใหม่ของการตลาด แทนที่ระบบอัตโนมัติหรือ AI ผู้บริโภคไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยราคา แต่ด้วยความรู้สึกที่เชื่อมโยงกับคนขาย แบรนด์ต้องสื่อสารให้ตรงใจและจริงใจ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับผู้บริโภค
3. Trust Capital เมื่อความเชื่อใจกลายเป็นทุนทางธุรกิจ
เจนนี่เปลี่ยนความจริงใจให้กลายเป็นสินทรัพย์ทางจิตใจ ที่ผู้บริโภคพร้อมลงทุนกลับ ความเชื่อใจเกิดจากการแสดงออกซ้ำๆ ที่ตรงกับคำพูด นักการตลาดควรวาง Trust Framework คู่กับกลยุทธ์สื่อ เพื่อสร้างแบรนด์ที่คนเชื่อและแชร์
4. Collective Influence พลังเครือข่ายที่ขยายผลเกินตัว
การที่เพื่อนดาราร่วมไลฟ์ไม่เพียงเพิ่มสีสัน แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือผ่านพลังเครือข่ายและมุมมองที่หลากหลาย แบรนด์ต้องสร้าง Influence Ecosystem แทนการพึ่งพาอินฟลูเอนเซอร์รายเดียว เพื่อสร้างแรงส่งที่ยั่งยืน
5. The 3S Play เจนนี่บริหารจังหวะ ความจริงใจ และความต่อเนื่องได้พร้อมกัน ความเร็วทำให้ดัง ความจริงใจทำให้คนอยู่ ความต่อเนื่องทำให้แบรนด์ยั่งยืน นักการตลาดต้องออกแบบกลยุทธ์ให้กระแสและความสัมพันธ์เติบโตไปพร้อมกัน
6. Heartware Over Hardware เพราะ AI ยังเรียนรู้หัวใจมนุษย์ไม่หมดแม้เทคโนโลยีจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ แต่ยังไม่สามารถแทนอารมณ์ร่วมของมนุษย์ได้ นักการตลาดต้องใช้ AI เพื่อเข้าใจมนุษย์ ไม่ใช่แทนมนุษย์
7. Gen Connect เมื่อคนรุ่นใหม่ต้องการความจริง ไม่ใช่ภาพสวยกลุ่มผู้ติดตามหลักคือวัย 18–34 ปี โดยเฉพาะผู้หญิงกว่า 70% สะท้อนว่าเจนนี่เข้าถึงใจคนรุ่น Z และมิลเลนเนียล ที่ให้คุณค่ากับ ความจริง ความกล้า และตัวตน มากกว่าภาพลักษณ์ นักการตลาดต้องเปลี่ยนจาก Brand Messaging เป็น Human Dialogue สื่อสารอย่างเท่ากันและจริงใจ
8. Impact Over Image อิทธิพลแท้คือการเปลี่ยนพฤติกรรม เจนนี่ไม่ได้ดังเพราะชื่อเสียง แต่เพราะคนซื้อจริงในเวลาจริง นักการตลาดต้องปรับ KPI จาก views เป็น actions วัดผลจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจริง
9. Momentum Builds Meaning จังหวะที่ถูกคือพลัง ความเร็วอาจสร้างกระแส แต่การรู้จังหวะทำให้แบรนด์อยู่ในใจ การรู้เมื่อควรเร่งหรือเบรกคือศิลปะของแบรนด์ยุคใหม่ จึงต้องวางแผน Momentum อย่างมีชั้นเชิง เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือระยะยาว
10. Emotion x Intelligence เมื่ออารมณ์และข้อมูลกลายเป็นสมการเดียวกัน ความสำเร็จไม่ได้เกิดจากอารมณ์เพียงอย่างเดียว แต่จากการผสมความรู้สึก กับ ข้อมูลเชิงลึก อย่างมีกลยุทธ์ นักการตลาดต้องเข้าใจทั้ง data analytics และ cultural pulse เพื่อให้ข้อมูลตอบโจทย์อารมณ์ของผู้คน
ความเคลื่อนไหวทั้งหมดสะท้อนทิศทางใหม่ของการตลาดไทย จากยุคที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและข้อมูล สู่การกลับมาให้คุณค่ากับมนุษย์อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตาม MI GROUP ยังชี้ว่า การตลาดแบบ Emotion-Driven ไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่คือหัวใจของการสื่อสารทุกยุค เทคโนโลยีอาจเปลี่ยนผ่านจาก Analog สู่ AI แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน คือ การใช้ใจเข้าใจผู้คน ใช้ความจริงใจสร้างความเชื่อใจ และใช้หัวใจสร้างยอดขายที่มีความหมาย
“ความสำเร็จของแบรนด์ในอนาคต จะไม่เกิดจากการเข้าใจเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจมนุษย์ให้ลึกกว่าเดิม” MI GROUP ย้ำ
ภาพ: Facebook รัชนก สุวรรณเกตุ