ผมแดง เจาะคิ้ว มีรอยสัก แต่งตัวด้วยสไตล์จัดจ้านและสีสันฉูดฉาด คือภาพที่เราเห็นได้ไม่บ่อยนักสำหรับศิลปินใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวซิงเกิลแรกของตัวเอง แต่ไม่ใช่กับลูกครึ่งไทย-โปรตุเกส อายุ 20 ปี ที่ชื่อ ณัฐชา เดอซูซ่า หรือ จีน่า ดี เจ้าของฉายา Ketchup Girl หนึ่งในศิลปินภายใต้สังกัด MBO ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่
ในขณะที่ศิลปินบางคนอาจใช้เวลาทดลองเปลี่ยนตัวเองเพื่อค้นหาจุดพอดีที่ตลาดและคนส่วนใหญ่ถูกใจ แต่จีน่ากลับเลือกที่จะนำเสนอความเป็นตัวเองออกมาให้ได้มากที่สุดตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้รับโอกาสสำคัญในเพลงเปิดตัวที่ชื่อว่า ‘จริงๆ มันก็ดี’ (Drunk)
เธอได้นำเอาส่วนผสมทั้งหมดที่สั่งสมมาตลอดระยะเวลา 20 ปี ทั้งความรักในการร้องเพลง ความหลงใหลในเรื่องแฟชั่น และมุมมองความรักที่ดูเข้มแข็งเกินอายุมาใส่ไว้ในเพลงนี้แบบไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น รวมทั้งการตอบคำถามที่จริงใจและตรงไปตรงมา ซึ่งสำหรับเราแล้ว นี่ล่ะคือ ‘เสน่ห์’ ที่สำคัญที่สุดของคนที่จะขึ้นมาเป็นศิลปินรุ่นใหม่ในยุคนี้
หนึ่งสัปดาห์กับจุดเปลี่ยนของเด็กอารมณ์ร้อน
ช่วงมัธยม บุคลิกของจีน่าจะเป็นคนตลกตลอดเวลา แต่ถ้าอารมณ์ไม่ดี เมื่อพูดอะไรจะไม่เคยคิดเลยว่าคนอื่นจะเสียใจหรือเปล่า เป็นแบบนั้นมาตลอดโดยที่ไม่มีใครห้าม พอขึ้น ม.6 ได้มาอยู่กับกลุ่มเพื่อนที่เหมือนถูกคัดมาแล้วว่าสนิทกันจริงๆ วันหนึ่งเขาไม่คุยกับเราทั้งกลุ่ม จะไปกินข้าวก็ไม่มีคนบอก ถามคำตอบคำ วันแรกๆ เราเอาแต่โทษคนอื่น คิดว่าต้องมีคนมานินทาหรือแอบใส่ร้ายให้เพื่อนฟังแน่ๆ เป็นแบบนั้นอยู่ 3 วัน อยู่แต่บนห้อง ไม่ลงไปกินข้าว เพราะติดลุค กลัวคนมองว่าไปกินข้าวคนเดียวแล้วมีปัญหา
พอได้อยู่คนเดียว ได้เห็นนิสัยตัวเองหลายอย่าง รู้ตัวว่าเอาแต่ใจ อารมณ์ร้อน ไม่ฟังคนอื่น และเริ่มคิดว่าจะเปลี่ยนนิสัยตรงนี้ได้ยังไง เลยเดินไปหาเพื่อนตอนที่อยู่กันเยอะๆ บอกว่าโกรธเราเพราะเรื่องนี้ใช่ไหม เราอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองนะ เพราะรู้แล้วว่าที่เป็นแบบนั้นมันแย่มากๆ แล้วเพื่อนตอบกลับมาว่า เออ แค่นี้ล่ะ ทุกคนอยากให้เรารู้จักตัวเอง รู้ว่าเราไม่สามารถทำนิสัยแบบนี้ได้ในสังคม กลายเป็นว่าเรากลับมารักกันมากกว่าเดิม เป็นเหตุการณ์พลิกชีวิตที่ทำให้คนอารมณ์ร้อนมากๆ กลายเป็นใจเย็นมากๆ แทบไม่โกรธอะไรใครเลย คิดถึงคนอื่นมากขึ้น โชคดีมากเลยนะที่ใช้เวลาแค่อาทิตย์เดียว แต่เปลี่ยนนิสัยไม่ดีที่จีน่าเป็นมาตลอดชีวิตได้เลย
จากคนนั่งรอ กลายเป็นคนที่รักการร้องเพลงจริงๆ
เริ่มจากตอน ป.4 จีน่าต้องกลับบ้านพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องที่เขาเรียนร้องเพลง แต่เราไม่อยากรออย่างเดียว ก็เลยลองเรียนด้วย แต่ผ่านไป 3-4 เดือนกลายเป็นว่าสนุกที่ได้ร้องเพลง แล้วก็เรียนยาวไปเลย 5 ปีเต็ม แต่ยังไม่ได้คิดว่าอยากเป็นนักร้อง เราแค่สนุกที่ได้ร้องเพลง ได้สื่อสารอารมณ์ในเพลงให้คนอื่นฟัง แต่ทุกอย่างมันไกลตัวเราตอนนั้นมากๆ
จนวันหนึ่งเพื่อนอัดคลิปตอนสอบร้องเพลงไปลงโซเชียลแคมแล้วมีคนเข้ามาดูเป็นหมื่นคน ตกใจมาก แต่คิดว่าคงเป็นเพราะแอ็กเคานต์ของเพื่อนมีคนติดตามเยอะ อีกวันเลยลองร้องเพลงสดๆ ในแอ็กเคานต์ของตัวเอง ปรากฏว่ามีคนเข้ามาดู 30,000 กว่าคน จนตอนนั้นเริ่มมีความคิดขึ้นมาว่า หรือความคิดที่เคยคิดว่าไกลตัวมันอาจจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้จริงๆ ก็เลยร้องเพลงมาเรื่อยๆ จนโซเชียลแคมปิดไป ก็เลยไม่ค่อยได้ร้องเพลงต่อ เพราะตอนนั้นเริ่มหันไปสนใจเรื่องแฟชั่นมากขึ้นด้วย
เปิดหู เปิดตา และก้าวเท้าสู่โลกแฟชั่น
มีช่วงหนึ่งที่จีน่าเรียนวาดรูป ตอนนั้นแต่งตัวเหมือนเด็กศิลป์ทั่วไป คือใส่เสื้อฮาวาย เสื้อยืด กางยีนส์ตัวใหญ่ๆ รองเท้าคอนเวิร์ส เราเริ่มใส่เพราะเห็นคนอื่นเขาใส่กันแบบนั้น แต่พอได้ไปเที่ยวที่ไต้หวันกับเพื่อน ได้ไปซื้อเสื้อแบบใหม่ๆ ลายใหม่ๆ สีใหม่ๆ แล้วเราชอบมาก ซื้อกลับมาเต็มเลย เอามาผสมกับเสื้อผ้าที่เรามี พอมิกซ์ไปเรื่อยๆ กลายเป็นแนวของตัวเองที่ไม่เหมือนคนอื่นขึ้นมา แล้วตอนนั้นจีน่ากลายเป็นติดเรื่องแฟชั่นไปเลย ต้องเข้าไปดูในอินสตาแกรมทุกๆ ชั่วโมง ติดตามคนที่สไตล์ดีๆ หรือแบรนด์แฟชั่นที่เขาจะอัพเดตตลอดเวลา ต้องเข้าไปดูว่าวันนี้มีอะไรออกใหม่ มีอะไรน่าสนใจที่สามารถเอามิกซ์กับการแต่งตัวของเราได้ คิดว่าเรื่องแฟชั่นสนุกพอๆ กับการร้องเพลงเลย ชอบที่ทั้งสองอย่างเป็นศิลปะที่ต้องใช้อารมณ์และรสนิยมประกอบกัน จีน่าชอบที่จะได้คิดว่าวันนี้จะแต่งตัวแบบไหนออกไปร้องเพลง ชอบครีเอตลุคที่ทำให้คนเซอร์ไพรส์เวลาเห็นเราออกไปร้องเพลง เช่น บางวันอาจจะแต่งตัวเหมือนผู้ชาย แต่ไปร้องเพลงแนวดิว่า ทำให้เกิดความรู้สึกอีกอย่างจากคนฟัง
ชัยชนะของผู้มาก่อนเวลา
ความสนุกอีกอย่างของแฟชั่นคือการเดาว่าเทรนด์อะไรกำลังจะมา แล้วเราอดทนกับการรอคอยให้เทรนด์นั้นมาแบบที่เราคิดจริงๆ ช่วงแรกๆ เราต้องต่อสู้กับคำต่อว่า คำแซวของคนอื่นเยอะมาก เพราะเราจะแต่งตัวแบบที่คนในตอนนั้นไม่แต่ง อย่างเสื้อตัวใหญ่ ถุงเท้าสูงๆ ตอนที่ยังไม่มีคนแต่งก็โดนเพื่อนแซวว่าจะไปเตะบอลเหรอ ก็คิดในใจว่ารอก่อน เดี๋ยวลองดู แล้วผ่านไปปีสองปีทุกคนใส่ถุงเท้าสูงกันหมด ซึ่งพอคนกลับมาบอกว่า เออว่ะ คนมาใส่แบบนี้จริงๆ ด้วย ซึ่งตอนนั้นเราก็เปลี่ยนเป็นไม่ใส่ถุงเท้าไปแล้ว (หัวเราะ)
จีน่าจะให้ความสำคัญกับการแต่งตัวมากเป็นอันดับหนึ่ง เป็นคนแต่งหน้าทำผมเร็วมาก ไม่ค่อยสนใจ แต่กับเสื้อผ้าเราต้องเลือกชุดที่ดีสุดในวันนั้นให้ได้ ถ้าไม่ได้ชุดที่พอใจจะไม่กล้าออกจากบ้าน บางทียืนอยู่หน้ากระจก รื้อเสื้อผ้าทั้งห้องออกมาลอง เสียเวลาเป็นชั่วโมงเพื่อมารู้ตอนหลังว่าแบบแรกที่เลือกนั่นล่ะดีที่สุดแล้ว (หัวเราะ)
แต่ถ้าเป็นเวลาซื้อเสื้อผ้าจะตรงข้ามกันเลยนะคะ เวลาซื้อจะเร็วมาก จีน่าชอบซื้อเสื้อผ้ามือสอง เสื้อวินเทจตามจตุจักรหรือตลาดนัดรถไฟ โดยเฉพาะเวลาเขาเปิดกระสอบกันนี่ชอบมาก ยอมแพ้ฝุ่นเลย แล้วก็จะหยิบทุกตัวที่อยากได้ เพราะกลัวคนอื่นมาแย่ง บางคนเคยถามว่าไม่เสียดายเงินเหรอ แต่จีน่าว่ามันคุ้มค่ากับความรู้สึกเวลาเราได้ใส่ชุดที่เราชอบ หรือบางทีคนไม่เข้าใจว่าทำไมเราชอบใส่เสื้อเก่า แต่เราสบายใจ เราก็ไม่แคร์ พอตอนหลังเทรนด์เสื้อเก่ามา เพื่อนมาถามว่าเสื้อตัวนั้นไปไหนแล้ว เราก็จะบอกว่าขายไปแล้ว กลายเป็นว่าเราได้ใส่ทั้งชุดที่เราชอบ แถมยังขายต่อได้กำไร อย่างเสื้อที่ใส่วันนี้เป็นเสื้อของ Warner Bros. ปี 1997 วันนั้นคนคิดว่าเป็นเสื้อเก่า ขายกันตัวละ 50 บาท แต่วันนี้ขายกัน 2,000 บาทก็ยังมี ที่พีกสุดคือเคยซื้อเสื้อตัวหนึ่งราคา 500 บาท แล้วขายได้ 4,500 บาทก็เคยมาแล้ว
เพลง จริงๆ มันก็ดี (Drunk)
Ketchup Girl ส่วนผสมระหว่างแฟชั่น ดนตรี และความเป็นตัวเอง
เป็นชื่อที่คิดขึ้นมาเอง เพราะว่าชอบกินน้ำมะเขือเทศ ซอสมะเขือเทศ และชอบสีแดง เราตั้งขึ้นมาเล่นๆ แล้วเวลามีแบรนด์ต่างประเทศส่งเสื้อผ้ามาให้ลองเขาจะเขียนว่า Dear Ketchup Girl ซึ่งเรารู้สึกว่ามันเท่ดี ก็ใช้มาตลอดจนมาเข้าค่าย MBO พอมีโอกาสได้ทำซิงเกิลแรกในชีวิตก็อยากให้เป็นตัวเองมากที่สุด เลยขอพี่ๆ ทางค่ายว่าให้มี Ketchup Girl เป็นคอนเซปต์หลักของเพลง ส่วนเรื่องการแต่งตัว ส่วนใหญ่ก็มาจากตัวเราประมาณ 80% ส่วนอีก 20% ทางค่ายขอให้ลดความเป็นผู้ชายลงมาหน่อย เพราะพี่ๆ กลัวว่าเดี๋ยวผู้ชายจะกลัวกันหมด (หัวเราะ)
ส่วนเรื่องเพลง ต้องขอบคุณพี่ๆ ทุกคนมากที่ช่วยจีน่าแบบเต็มที่มาก เพลงนี้ได้พี่ปู๋ 25 Hours (ปิยวัฒน์ มีเครือ) มาเขียนเนื้อเพลง ได้พี่โฟร์ 25 Hours (ประทีป สิริอิสสระนันท์) มาเป็นโปรดิวเซอร์และดูพาร์ตดนตรีให้ และยังได้พี่อ๊อฟ Big Ass (พูนศักดิ์ จตุระบุล) มาเป็น Executive Producer ให้ ด้วยความที่ทุกคนเป็นรุ่นใหญ่ ตอนแรกเราก็กลัวและเกรงใจพวกพี่เขา แต่กลายเป็นว่าทุกคนอยากให้เรามีซิงเกิลแรกเป็นเพลงที่เราภูมิใจ ทุกคนจะถามตลอดว่าเราพอใจกับเพลงหรือยัง พอเพลงออกไปก็ช่วยเช็กฟีดแบ็ก ส่งข่าวตลอดว่าล้านวิวแล้วนะ เท่านี้แล้วนะ โดยเฉพาะพี่อ๊อฟที่มาบอกว่า เวลาเขาอ่านคอมเมนต์แล้วมีคนชมเพลงของเรา เขารู้สึกเหมือนได้รับของขวัญไปพร้อมๆ กับเราด้วย ซึ่งอะไรที่น่าประทับใจมากที่ศิลปินรุ่นใหญ่ขนาดนั้นให้ความสำคัญกับเราขนาดนี้
ทำให้จากตอนแรกที่เรากลัวว่าผลงานแรกจะเป็นยังไง เพราะใส่ความเป็นตัวเองไปค่อนข้างเยอะมาก ถ้าคนไม่โอเค จีน่าอาจจะเป๋ไปเลยก็ได้ แต่พอทุกคนให้การสนับสนุนเราก็โอเค ตั้งใจทำงานเต็มที่ เราเลือกที่จะเสนอตัวตนของเรามากที่สุด ดีกว่าค่อยๆ เปลี่ยนลุคไปเรื่อยๆ จนกว่าคนอื่นจะพอใจ แล้วถ้าฟีดแบ็กจะออกมาไม่ดีก็ไม่เป็นไร เพราะเราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว
‘จริงๆ มันก็ดี’ มุมมองความรักที่ดีโดยไม่ต้องมีใคร
คอนเซปต์นี้มาจากทั้งความรู้สึกของตัวเองและสังเกตจากเพื่อนใกล้ตัวที่เห็นว่าเวลาเขามีปัญหากับแฟน แต่เมื่อได้มาอยู่กับเพื่อนแล้วเขาจะสบายใจ ไม่เครียด ไม่คิดมาก แต่พอกลับไปอยู่กับแฟน ความเครียดก็จะกลับมาอีกครั้ง ซึ่งจีน่ารู้สึกว่าถ้าเป็นแบบนั้นมันไม่น่าจะถูกต้องแล้ว
หรือบางครั้งที่เรารู้สึกว่าเรารักคนอื่นจนลืมรักตัวเอง ยอมทำอะไรหลายๆ อย่างที่ตัวเองไม่ชอบ ไม่เคยทำ แต่ก็ลองทำเพราะอยากให้อีกคนหนึ่งรู้สึกดี แต่พอเวลาผ่านไปมันกลายเป็นความรู้สึกอึดอัดที่ไม่กล้าพูดออกไป เพราะกลัวจะทำให้เขารู้สึกไม่ดี แต่เวลาได้อยู่คนเดียว ทุกอย่างมันโล่ง ได้กลับมาทำอะไรแบบเดิม แบบที่เป็นตัวเราจริงๆ อาจจะเหงาบ้าง แต่สบายใจกว่าเยอะเลย
- จีน่าเป็นเด็กที่ซนมาก สมัยอนุบาล 2 เคยทะเลาะกับเด็กผู้ชายสองคนที่ชอบปีนกำแพงแอบดูผู้หญิงเข้าห้องน้ำ โดยจับหัวทั้งสองคนดันจนไปติดกำแพงพร้อมๆ กัน และนั่นทำให้เธอถูกเรียกผู้ปกครองเป็นครั้งแรกตั้งแต่อนุบาล 2
- จีน่าเคยเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง กลัวการอยู่คนเดียว ถึงขั้นร้องไห้ถ้าต้องขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านคนเดียว เพราะคิดว่าทุกคนจะมองว่าเธอมีปัญหาหรือไม่มีเพื่อน
- จีน่าเคยมีผลงานการแสดงมาแล้ว 3 เรื่องคือ #เป็ดIdol, รักชั้นนัย และ Bangkok รัก Stories ตอน Please
- สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของเธอได้ที่ อินสตาแกรม @jeenagena, เฟซบุ๊ก Jeenagena Desouza และทวิตเตอร์ @jeenagena