ท่ามกลางการปรับตัวของอุตสาหกรรมค้าปลีกทั่วโลกและสงครามช่วงชิงตลาดระหว่างอีคอมเมิร์ซยักษ์ฝั่งตะวันออกกับฝั่งตะวันตก หนึ่งในบริษัทที่มาแรงตอนนี้คือ JD.com ธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่สุดในจีน คู่แข่งรายสำคัญของ Alibaba ที่มีความโดดเด่นทางนวัตกรรมและบุกตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างต่อเนื่อง อาทิ อินโดนีเซีย และการร่วมทุนกับเครือเซ็นทรัล ผู้นำค้าปลีกไทย เปิดตัวแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ JD CENTRAL หวังดันไทยเป็นฮับอีคอมเมิร์ซแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล่าสุด กลอเรีย ลี รองประธานฝ่ายสื่อสารองค์กร JD.com เผยกับ THE STANDARD ว่าจะปักหมุดต่อไปในเวียดนาม!
การไปเยือนสำนักงานใหญ่ของ JD.com กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน และ 7FRESH ซูเปอร์มาร์เก็ตอัจฉริยะ ทำให้เราพบว่าจีนกลายเป็นผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมรีเทลที่น่าทึ่ง ขณะเดียวกันผู้บริโภคชาวจีนก็เปิดรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ในชีวิตประจำวันเป็นอย่างดี
มาดูกันว่านวัตกรรมแบบไหนกำลังขับเคลื่อนบริษัทอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก ณ เวลานี้
Photo: JD.com
7FRESH ซูเปอร์มาร์เก็ตอัจฉริยะ: รถเข็นอัตโนมัติ จ่ายเงินด้วยใบหน้า และบริการจัดส่งถึงบ้านภายใน 30 นาที
ใช่ว่าผู้บริโภควันนี้ไม่ต้องการเดินเข้าร้านค้าออฟไลน์อีกต่อไป หากแต่ต้องการบริการที่ดียิ่งขึ้นและตอบโจทย์ความต้องการรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกรวดเร็วในการจับจ่ายหรือสินค้าที่ไว้วางใจได้ JD.com จึงสวนกระแสค้าปลีกซบเซามาเปิดซูเปอร์มาร์เก็ตอัจฉริยะ 7FRESH ที่เมืองปักกิ่ง ชูจุดเด่นด้านคุณภาพระดับพรีเมียมและการมอบประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ร้านค้าแบบเดิมให้ไม่ได้ด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง (Smart Solutions) เช่น Artificial Intelligence, Big Data Analytics, E-logistics และ Blockchain
สินค้าส่วนใหญ่ของ 7FRESH เป็นอาหารสด (70%) เช่น เนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผักผลไม้สด ดอกไม้ เบเกอรี และยังมีสินค้าทั่วไป (30%) ให้เลือกช้อปนานาชนิด แบ่งเป็นสินค้านำเข้า 75% อีก 25% เป็นสินค้าภายในประเทศตามความต้องการของผู้บริโภคชาวจีนที่นิยมสินค้าคุณภาพสูงจากต่างประเทศและใส่ใจแหล่งที่มากันมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลางและคนรุ่นใหม่ที่มีรายได้ดี ภายในยังมีโซนร้านอาหารที่ลูกค้าสามารถสั่งปรุงอาหารทะเลสดๆ มานั่งรับประทานอาหารสดใหม่ได้อีกด้วย เช่น กุ้งล็อบสเตอร์ ปูยักษ์อลาสก้า ปูทะเล และกั้ง เรียกได้ว่าการันตีความสดของวัตถุดิบแบบสุดๆ
เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง
- เคาน์เตอร์ชำระเงินที่นี่รองรับทั้งการจ่ายเงินสด บัตรเครดิต และจ่ายผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ 7FRESH กับ WeChat Pay ทั้งยังมีบริการชำระเงินเอง (Self-checkout) ด้วยระบบจดจำใบหน้า (Facial Recognition) ที่เชื่อมต่อกับแอปฯ 7FRESH เช่นกัน
- รถเข็นอัจฉริยะ (Autonomous Shopping Cart) สามารถเคลื่อนที่ติดตามระหว่างที่เราเดินเลือกของได้โดยเชื่อมต่อสัญญาณผ่านนาฬิกาอัจฉริยะ ไม่ต้องเข็นเองหรือออกคำสั่งให้ยุ่งยาก ตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างการทดสอบ
- ป้ายราคาดิจิทัล (E-price Tag) จะเปลี่ยนราคาสินค้าบนชั้นวางตามราคาสินค้าบนช่องทางออนไลน์แบบเรียลไทม์ โดยเฉพาะในช่วงแคมเปญลดราคาและโปรโมชัน
- เซอร์ไพรส์สุดต้องยกให้กับ Magic Mirror กระจกอัจฉริยะแสดงข้อมูลรายละเอียดของสินค้าทันทีที่เราหยิบขึ้นมา เช่น ที่ตั้งของฟาร์ม แหล่งปลูก ผู้ผลิต วันที่ ข้อมูลทางโภชนาการ หรือแม้แต่ระดับความหวานของผลไม้
- เราสามารถสแกนดูข้อมูลและตรวจสอบที่มาของสินค้าบนป้าย QR Code ข้อมูลของสินค้าทุกชิ้นจะถูกบันทึกผ่าน Blockchain Food Safety Alliance ตลอดทั้งซัพพลายเชนตั้งแต่การผลิตจนถึงจัดส่ง เพื่อเพิ่มความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยทางอาหาร ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง JD.com, Walmart, IBM และมหาวิทยาลัยชิงหวา ประเทศจีน
- สำหรับลูกค้าที่ไม่สะดวกหิ้วของกลับเองและลูกค้าที่สั่งซื้อออนไลน์ก็สามารถใช้บริการเดลิเวอรีถึงบ้านภายใน 30 นาที ระยะทางจัดส่งไม่เกิน 3 กิโลเมตร ในซูเปอร์มาร์เก็ตจะมีระบบรางที่พนักงานสามารถดร็อปและเคลื่อนย้ายตะกร้าสินค้าไปจัดส่งได้อย่างรวดเร็ว
Photo: JD.com
Unmanned Convenience Store ร้านสะดวกซื้อยุคใหม่ ไม่ต้องใช้พนักงาน
Unmanned Convenience Store เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการพัฒนาร้านค้าในอนาคตภายใต้คอนเซปต์ Borderless Retail ที่เชื่อมโยงประสบการณ์ออนไลน์กับออฟไลน์อย่างไร้รอยต่อ ปัจจุบัน JD.com กำลังทดลองพัฒนาร้านค้าสะดวกซื้ออัตโนมัติ เปิด 24 ชั่วโมง ที่สำคัญคือไม่มีพนักงาน ในร้านมีกล้องวงจรปิดติดตั้งที่ทำงานควบคู่กับเทคโนโลยีจดจำใบหน้า (Facial Recognition) และจดจำวัตถุ (Image Recognition) เมื่อเราหยิบสินค้า ชั้นวางสินค้าอิเล็กทรอนิกส์จะบันทึกข้อมูลอัตโนมัติว่าเราหยิบสินค้าใดไปบ้าง (หรือแม้กระทั่งวางคืน) จากเซนเซอร์วัดน้ำหนักวัตถุบนชั้นวาง (Gravity Sensor) จากนั้นก็แค่จ่ายเงินผ่านแอปฯ ของ JD.com แล้วเดินออกจากร้านได้เลย ไม่ต้องต่อคิว ไม่ต้องใช้เงินสด
Photo: JD.com
นวัตกรรมและประสบการณ์ของลูกค้าคือกุญแจสู่อนาคตของค้าปลีก
เร็วๆ นี้เราน่าจะได้เห็น JD.com และค้าปลีกรายอื่นๆ เริ่มใช้เทคโนโลยี AI และ Big Data วิเคราะห์สิ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า แต่จับต้องไม่ได้ เช่น การแสดงอารมณ์ความรู้สึกผ่านสีหน้าท่าทางแล้วนำไปพัฒนาบริการตามจุดทัชพอยต์และจุดขายสินค้าจริง จากที่ได้ทดลองใช้ในงานแถลงข่าวแคมเปญ 618 มหกรรมลดราคาประจำปี (18 มิ.ย.) เราบอกเลยว่าเทคโนโลยีนี้สามารถระบุตัวตน อายุ เพศ และอารมณ์ของผู้ใช้ผ่านภาพเคลื่อนไหวได้แม่นยำทีเดียว
ในส่วนเทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autonomous Vehicles) จะเข้ามาเสริมประสิทธิภาพของเครือข่ายโลจิสติกส์อัจฉริยะ เช่น รถบรรทุกอัตโนมัติระดับ 4 พัฒนาโดยทีม JD และซิลิคอนแวลลีย์ คาดว่าจะเริ่มการทดสอบระบบปฏิบัติการภายในปี 2020 และโดรนอัตโนมัติขนาดใหญ่จะนำมาใช้ในระบบการขนส่งสินค้าระหว่างศูนย์กระจายสินค้า รวมทั้งช่วยขนส่งในที่ห่างไกล เช่น การขนส่งสินค้าเกษตรจากชนบทไปยังหัวเมืองใหญ่
สำหรับประเทศไทยนั้น ทาง JD CENTRAL เน้นสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งรายอื่นโดยให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ที่ดีในการซื้อของให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการจำหน่ายเฉพาะสินค้าของแท้ 100% คุณภาพสูง รวมถึงการจัดส่งที่มีประสิทธิภาพ เชื่อถือได้ ไม่ใช่แค่สร้างแพลตฟอร์มเท่านั้น
กลอเรีย ลี ให้สัมภาษณ์ว่าประเทศไทยถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณภาพของสินค้า ประกอบกับมีรายได้เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นโจทย์สำคัญที่ทีมมาร์เก็ตติ้งและนักวิจัยจะต้องทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น ศึกษาเอกลักษณ์ของตลาดเพื่อที่จะหาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาดในแต่ละประเทศให้ได้มากที่สุด
“เราเชื่อมั่นว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ซึ่งรวมไปถึง สินค้าที่ดีที่สุด บริการที่ดีที่สุด ในราคาที่ดีที่สุด ขณะเดียวกันเราก็มีความเชี่ยวชาญการใช้เทคโนโลยี เช่น Big Data Analytics ทำให้วิเคราะห์ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ”