วันนี้ (25 พฤษภาคม) ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สนธิ ลิ้มทองกุล ร่วมกับ ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์, ทนง ขันทอง, นพรัตน์ พรวนสุข, จตุพร พรหมพันธุ์ และ ประพันธ์ คูณมี จัดเวที ‘ความจริงมีหนึ่งเดียว ครั้งที่ 2/2568’ ขณะที่ สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ อดีตหัวหน้าศูนย์นโยบายและวิชาการของพรรคพลังประชารัฐ และอดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร่วมรับฟังด้วย
จตุพรกล่าวตอนหนึ่งว่า เชื่อว่าตลอดระยะเวลา 20 ปีมานี้ ภาพที่ท่านทั้งหลายได้เห็นขณะนี้ไม่มีใครคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะคำว่าทวงความถูกต้องให้กับคนไทยเป็นหัวใจหลักนำพาให้ตนมาพบกับ สนธิ ลิ้มทองกุล ในวันนี้ ซึ่งสนธิได้ชวนตนเองในขณะที่พบกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว ว่าเราจะได้มีโอกาสถ้อยแถลงพร้อมกัน โดยผ่านมา 7 ปีเพิ่งประสบความสำเร็จในวันนี้
โดยก่อนหน้านี้ 5 วัน เหมือนของสนธิแรงเหลือเกิน เพราะตนเองติดโควิด แต่ได้กินยาฟ้าทะลายโจรของปานเทพ จึงทำให้สภาพร่างกายพร้อม อย่างไรก็ตาม วันนี้คงไม่มีอะไรสำคัญมากกว่าประเทศไทย ที่ผ่านมาจะอย่างไรทุกอย่างเป็นเรื่องเล็ก ส่วนเรื่องใหญ่ของบ้านเมืองในวันนี้คือจะนำพาให้ประเทศไทยเดินทางในทิศทางที่ถูกต้องและพลิกฟื้นประเทศชาติขึ้นมาได้อย่างไร
“ผมผ่านมาหลายเหตุการณ์ มารู้ตัวอีกทีก็อายุ 60 ปี แต่ทันทีที่ผมประกาศรบกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทุกคนก็กลับมาญาติดีกับผมเหมือนเดิม ทั้งนี้ วันที่คุณทักษิณกลับมาประเทศไทยและยื่นถวายฎีกา ยอมรับว่ากระทำความผิดตามคำพิพากษา มองว่าไม่ใช่ผลพวงการยึดอำนาจหรือตุลาการภิวัตน์ แต่เขายอมรับว่าทุจริตจริง ไม่ว่าระบอบการเมืองใดทุจริตคือทุจริต โกงก็คือโกง ไม่ว่าจะเป็นเผด็จการหรือประชาธิปไตย” จตุพรกล่าว
จตุพรระบุด้วยว่า ขณะนี้มีการตั้งคำถามว่าทักษิณจะหนีหรือไม่ หรือมีการหนีออกนอกประเทศไปแล้วหรือยัง ซึ่งส่วนตัวไม่อยากให้หนี อยากให้ได้ซึมซับบรรยากาศอย่างที่ตนเองและสนธิได้ซึมซับในเรือนจำ ตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่มีคนไทยคนไหนได้รับโอกาสเหมือนทักษิณอีกแล้ว และเขาไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว และหากเขายอมรับตามที่ได้เขียนถวายฎีกา คนก็ไม่ต้องมาลุ้นว่าจะหนีหรือไม่
นอกจากนี้หัวใจหลักที่คนออกมาต่อสู้กับทักษิณ คือการปฏิบัติสองมาตรฐานและอภิสิทธิ์ชน ซึ่งทักษิณทำครบทุกข้อ ที่ผ่านมาเราได้เห็นความเป็นทักษิณ ผู้สนับสนุนหูตาสว่างมากขึ้น เพราะการกระทำทั้งหมดเป็นการทำลายตัวเองอย่างย่อยยับ ไม่มีใครไปทำอะไรเขา ตอนอยู่ต่างประเทศกระแสนิยมสูง เพราะเห็นว่าไม่ได้รับความยุติธรรม แต่เมื่อกลับมาประเทศไทยตั้งแต่ 22 สิงหาคม 2566 จนถึงวันนี้ คนไทยได้เห็นความเป็นตัวตนของทักษิณครบถ้วน
“เราต้องยอมรับความจริงว่าบ้านเมืองเดินมาถึงจุดเสียหายครบทุกด้าน เลยคำว่าปฏิรูป อาจถึงขั้นการปฏิวัติและล้างบางกันใหม่ โดยยึดแนวทางสร้างสถาบันหลักของชาติและประชาชนให้แข็งแรง เพราะแต่ละขบวนการเราหาสิ่งที่ถูกต้องไม่เจอ กล่าวอ้างประชาธิปไตยเพียงแค่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีการซื้อเสียงตั้งแต่ระดับผู้ใหญ่บ้าน แต่กลับอธิบายว่าเป็นประชาธิปไตย” จตุพรกล่าว
จตุพรกล่าวว่า วันนี้มีโอกาสอยู่ท้องถนนและเข้าสู่สภาฯ บ้าง ซึ่งเทียบแล้วอยู่บนถนนมีความสุขมากกว่ารัฐสภา วันนี้เป็นตัวของตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงต้องกล้าคิดว่าหนทางบ้านเมืองต่อไปนี้จะช่วยอะไรได้บ้าง รู้ว่าพี่น้องสู้กันมานาน ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ เช่น 14 ตุลา, 6 ตุลา และสงครามที่เกี่ยวกับนายทักษิณมา 20 ปี ล้วนยังไม่มีที่สิ้นสุดแต่ประเทศกลับแย่
“หากสู้เพื่อสลับอำนาจให้กับนักการเมืองหรือผู้อื่น ก่อนเข้าสู่อำนาจรับปากหมด แต่เมื่อเป็นผู้มีอำนาจระหว่างเดินทางจากบ้านไปทำเนียบกลับทำสมองหล่นกลางทาง เราเจอผู้ปกครองลักษณะนี้มาโดยบ้านเมืองจึงแก้ไขไม่ได้”
จตุพรระบุด้วยว่า อย่างไรก็ตาม หลังวันที่ 13 มิถุนายนนี้ บ้านเมืองนี้คงเจริญและรวดเร็วขึ้นทุกกระบวนการ เพราะผลนั้นจะเป็นน้ำมันหล่อลื่น เรื่องที่หนืดใน กกต. ผู้ตรวจการแผ่นดินหรือ ป.ป.ช. จะมีความรวดเร็วมากขึ้น เพราะทุกขบวนการทำหน้าที่จะเริ่มต้นในการคิดใหม่ แต่ถ้าทุกคนรอคนใหม่มาทำหน้าที่จะทำให้บ้านเมืองจะย่อยยับ มองว่าบ้านเมืองจะเปลี่ยนแต่ปัญหาคือจะเปลี่ยนไปเป็นแบบเดิมได้หรือไม่
“วันนี้ถึงเวลาของประชาชนที่เห็นบ้านเมืองไม่ถูกต้อง ผิดทำนองคลองธรรม ประเทศนี้เป็นของเรา ต้องมีสิทธิ์กำหนดอนาคต ไม่ใช่ให้ทักษิณคิดคนเดียว แต่ประชาชนสามารถคิดในแผ่นดินนี้ได้เหมือนกัน และสุดท้ายเวลาที่ต้องการความร่วมมือร่วมแรงร่วมใจมาถึงแล้ว วันนี้ผมและทนายนกเขาพร้อมร่วมมือกับสนธิ เรื่องชาติบ้านเมือง เพื่อร่วมเปลี่ยนประเทศไทยไปด้วยกัน” จตุพรกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงหนึ่ง สนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งสื่อเครือผู้จัดการ และผู้ดำเนินรายการ คุยทุกเรื่องกับสนธิ ได้พูดเกริ่นบนเวที โดยจตุพรได้เดินขึ้นเวทีมา ทั้งสองคนจึงได้โอบกอดและจับมือกัน