สำนักข่าว CNN รายงานข่าวสุดน่ารักจากประเทศญี่ปุ่น หลังหน่วยงานดับเพลิงได้มอบเกียรติบัตรให้กับสุนัขพันทางเพศเมีย เนื่องจากมันได้ช่วยชีวิตชายคนหนึ่งที่หมดสติจากภาวะหัวใจวายให้รอดตายได้อย่างหวุดหวิด
เจ้าหน้าที่หน่วยดับเพลิงในจังหวัดชิบะ มอบเกียรติบัตรให้กับ ‘โคอุเมะ’ สุนัขพันทางวัย 5 ปี ในพิธีที่จัดขึ้นเป็นพิเศษเมื่อเดือนที่ผ่านมา จากการปฏิบัติหน้าที่อย่างกล้าหาญที่ชมรมขี่ม้า Chiba Riding Park โดยพนักงานของชมรมขี่ม้าเล่าว่า ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ มีชายวัย 50 ปีคนหนึ่งหมดสติไปและล้มลงกับพื้น ซึ่งโคอุเมะที่ปกติแล้วจะเป็นสุนัขที่มีนิสัยเรียบร้อย ไม่ค่อยเห่า ได้พบความผิดปกติที่เกิดขึ้น และพยายามส่งเสียงเห่าดังก้องเพื่อปลุกชายคนดังกล่าว ส่งผลให้มีคนจับสังเกตได้และสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยไว้ได้ทัน
ยูนะ มารูโอะ (Yuna Maruo) ครูสอนขี่ม้าวัย 23 ปีที่มีส่วนร่วมในการช่วยชีวิตชายผู้ป่วย กล่าวว่า “โดยปกติแล้วโคอุเมะจะอยู่เงียบๆ มันจะเห่าเฉพาะในสถานการณ์ที่ผิดปกติเท่านั้น” ซึ่งเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงเห่าของโคอุเมะ จึงรู้ว่ามีเหตุฉุกเฉิน และสามารถเรียกรถพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว ทำให้หน่วยแพทย์ใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ (AED) แก่ผู้ป่วยได้ทัน
ด้วยเหตุนี้ หน่วยดับเพลิงเขตวากาบะจึงได้มอบเกียรติบัตรเพื่อแสดงความขอบคุณและยกย่องความดีของโคอุเมะ โดยกล่าวว่า การกระทำของสุนัขที่พยายามเรียกให้มนุษย์ไปช่วย ตลอดจนความช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีของพนักงานที่ชมรมขี่ม้า ถือเป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยหัวใจวายที่สมบูรณ์แบบ เพราะการจะช่วยเหลือผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ทันจะต้องอาศัยการสังเกต ‘ความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ’ ที่เกิดขึ้นกับตัวผู้ป่วยตั้งแต่เนิ่นๆ
ชมรมขี่ม้าของจังหวัดชิบะกล่าวว่า โดยปกติแล้วทางชมรมจะเลี้ยงสุนัขเพศเมียไว้ตลอด เพื่อเป็นเสมือนมาสคอตที่คอยต้อนรับผู้มาเยือน โดยโคอุเมะมีโอกาสช่วยเหลือทางชมรมมาหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการเตือนให้คนรู้ว่ามีม้าตัวหนึ่งที่พยายามจะหนีออกจากคอก รวมถึงทำให้มนุษย์รู้ว่ามีม้าอายุมากอีกตัวที่เจ็บขาจนไม่สามารถยืนได้ด้วยตัวเอง
เมื่อครั้งที่ยังเป็นสุนัขน้อย โคอุเมะเติบโตมากับสุนัขนิสัยดีอีกตัวหนึ่งซึ่งมีชื่อว่า ‘อุเมะ’ โดยเจ้าหน้าที่ของชมรมเชื่อว่า อุเมะเป็นสุนัขที่คอยสอนให้โคอุเมะช่วยเหลือมนุษย์ และกล่าวว่าเจ้าอุเมะที่ตอนนี้กลับดาวไปแล้วจะต้องดีใจกับสิ่งที่โคอุเมะทำเป็นอย่างมากแน่นอน
ภาพ: Chiba Riding Park Via CNN
อ้างอิง:
