นายกรัฐมนตรีฟูมิโอะ คิชิดะ ของญี่ปุ่น เปิดเผยต่อสื่อในวันนี้ (29 พฤศจิกายน) ว่าญี่ปุ่นจะปิดพรมแดน ไม่รับชาวต่างชาติที่เข้ามาใหม่ ซึ่งรวมถึงนักเดินทางที่จะเข้าไปทำธุรกิจ และนักศึกษาหรือพนักงานฝึกงานชาวต่างชาติ โดยเริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (30 พฤศจิกายน) เพื่อป้องกันการระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ที่กำลังสร้างความกังวลในหลายประเทศ
“นี่เป็นมาตรการป้องกันและมาตรการฉุกเฉิน เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด” คิชิดะ กล่าวกับผู้สื่อข่าวที่สำนักนายกรัฐมนตรี
ขณะที่มาตรการดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อชาวต่างชาติผู้มีถิ่นพำนักในญี่ปุ่น ที่เดินทางกลับเข้าประเทศและพลเรือนสัญชาติญี่ปุ่น แต่หากเดินทางมาจาก 14 ประเทศที่ยืนยันว่าพบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน จะต้องกักตัวในสถานที่กักตัวที่รัฐบาลจัดเตรียมไว้
ซึ่ง คิชิดะ เน้นย้ำว่ามาตรการห้ามต่างชาติเข้าประเทศนั้น เป็นเพียงมาตรการชั่วคราว จนกว่าผู้เชี่ยวชาญจะทราบว่าโควิดสายพันธุ์นี้ร้ายแรงแค่ไหน
“นี่เป็นมาตรการพิเศษในขณะนี้ จนกว่าเราจะทราบข้อมูลเกี่ยวกับสายพันธุ์โอไมครอนมากกว่านี้” คิชิดะ กล่าว พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนอย่าตื่นตระหนก และสวมใส่หน้ากากอนามัยและรักษาระยะห่าง ขณะที่ให้ความมั่นใจว่าญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุด
สำหรับไวรัสโควิดสายพันธุ์โอไมครอนนั้น คาดว่าอาจแพร่ระบาดได้ง่ายกว่าสายพันธุ์อื่นๆ แต่ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าสามารถหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันหรือต้านทานวัคซีนได้ โดย องค์การอนามัยโลก หรือ WHO จัดให้ไวรัสสายพันธุ์นี้อยู่ในกลุ่มสายพันธุ์ที่น่ากังวล
ทั้งนี้แอฟริกาใต้เป็นประเทศแรกที่พบผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอไมครอน และจนถึงขณะนี้มีหลายประเทศที่ยืนยันแล้วว่าพบผู้ติดเชื้อเช่นกัน อาทิ บอตสวานา ออสเตรเลีย เบลเยียม อังกฤษ เดนมาร์ก เยอรมนี อิสราเอล อิตาลี เนเธอร์แลนด์ ฝรั่งเศส แคนาดา และฮ่องกง
ส่วนญี่ปุ่นนั้น คิชิโอะเผยว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลกำลังสืบสวนกรณีผู้ติดเชื้อรายหนึ่งที่เดินทางมาจากนามิเบีย ซึ่งตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด แต่ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ เพื่อยืนยันว่าเป็นสายพันธุ์โอไมครอนหรือไม่
ภาพ: Photo by Carl Court / Getty Images
อ้างอิง: