×

ญี่ปุ่น-จีนตึงเครียด หลังคำพูดทาคาอิจิจุดชนวนวิวาทะ ปมไต้หวัน

12.11.2025
  • LOADING...
ญี่ปุ่น - จีน ตึงเครียด หลัง คำพูด ทาคาอิจิ จุดชนวน วิวาทะ ปม ไต้หวัน

ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นและจีนเริ่มเข้าสู่ภาวะตึงเครียด หลังเกิดวิวาทะระหว่างกัน ความตึงเครียดเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ซานาเอะ ทาคาอิจิ นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของญี่ปุ่น ได้เสนอแนะในที่ประชุมรัฐสภาของญี่ปุ่นว่า ญี่ปุ่นอาจตอบโต้ด้วยกำลังทางทหาร หากจีนโจมตีไต้หวัน

 

ท่าทีดังกล่าวมีขึ้น หลังทาคาอิจิถูกถามว่า สถานการณ์ใด รอบๆ ไต้หวันที่จะถือเป็นสถานการณ์ที่ ‘คุกคามการอยู่รอด’ (Survival-Threatening Situation) ของญี่ปุ่น โดยทาคาอิจิตอบว่า หากมีเรือรบและการใช้กำลัง ก็อาจถือเป็นสถานการณ์ที่คุกคามการอยู่รอดได้

 

‘สถานการณ์ที่คุกคามการอยู่รอด’ เป็นศัพท์ทางกฎหมายภายใต้กฎหมายความมั่นคงปี 2015 ของญี่ปุ่น หมายถึงการโจมตีด้วยอาวุธต่อพันธมิตรของญี่ปุ่นที่ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของประเทศ และในสถานการณ์เช่นนี้ ญี่ปุ่นสามารถใช้กองกำลังป้องกันตนเอง เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามได้

 

การตอบโต้และคำขู่จากนักการทูตจีน

 

คำกล่าวของทาคาอิจิสร้างความไม่พอใจให้กับทางการจีน โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศของจีนที่ระบุว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ‘ถือเป็นเรื่องร้ายแรง’

 

ก่อนที่ เสวี่ยเจี้ยน กงสุลใหญ่ของจีนในเมืองโอซาก้า ได้แชร์บทความข่าวเกี่ยวกับคำกล่าวของทาคาอิชิบน X พร้อมเพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวในทำนองที่ว่า ศีรษะสกปรกที่ยื่นออกมาต้องถูกตัดออก โดยความเห็นนี้ได้รับการตีความอย่างแพร่หลาย โดยบางคนมองว่า เป็นการขู่จะตัดศีรษะทาคาอิจิ และถึงแม้ว่าเจตนาของคำพูดดังกล่าว ‘อาจไม่ชัดเจน’ แต่ก็ถูกมองว่า ‘ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง’

 

รัฐบาลทั้งสองประเทศต่างยื่นหนังสือประท้วงอย่างรุนแรงต่อกัน โดยรัฐบาลจีนประท้วงคำพูดของทาคาอิจิ ขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็ประท้วงคำพูดของเสวี่ยเจี้ยน โดยเมื่อวานนี้ (11 พฤศจิกายน) ทาคาอิชิปฏิเสธที่จะถอนคำพูดของเธอ พร้อมยืนยันว่า คำพูดดังกล่าว สอดคล้องกับจุดยืนดั้งเดิมของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม เธอระบุว่า จะระมัดระวังในการให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะเจาะจงนับจากนี้

 

จุดยืนของทาคาอิจิกับบริบททางประวัติศาสตร์

 

ความบาดหมางระหว่างจีนและญี่ปุ่นเกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน โดยย้อนกลับไปถึงความขัดแย้งทางอาวุธในยุคทศวรรษ 1800s และแคมเปญทางการทหารที่โหดร้ายของญี่ปุ่นในจีนช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง บาดแผลทางประวัติศาสตร์ยังคงเป็นประเด็นที่อ่อนไหวในความสัมพันธ์ทวิภาคี

 

ทาคาอิจิถือเป็นศิษย์รักของชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นผู้ล่วงลับ ซึ่งมีท่าทีการดำเนินนโยบายที่แข็งกร้าว (สายเหยี่ยว) ต่อจีน และสนับสนุนไต้หวันมานาน เธอได้ให้คำมั่นที่จะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมของญี่ปุ่น และก่อนหน้านี้เธอก็เคยกล่าวว่า การปิดล้อมเกาะไต้หวันอาจคุกคามญี่ปุ่น และญี่ปุ่นสามารถระดมกำลังทหาร เพื่อยับยั้งการรุกรานของจีนได้

 

การละทิ้ง ‘ความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์’

 

จีนมีความอ่อนไหวอย่างยิ่งต่อประเด็นไต้หวัน ซึ่งจีนมองว่า เป็นส่วนหนึ่งของอธิปไตยจีน และไม่ได้ตัดความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทางทหารเพื่อยึดคืนเกาะดังกล่าว

 

นักวิชาการจำนวนหนึ่งมองว่า คำกล่าวล่าสุดของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นถือเป็นการเปลี่ยนจาก ‘จุดยืนที่คลุมเครือ’ (Equivocal Position) ที่ญี่ปุ่นเคยยึดถือเกี่ยวกับสถานะของไต้หวัน ซึ่งมีความสอดคล้องกับนโยบาย ‘ความคลุมเครือเชิงยุทธศาสตร์’ (Strategic Ambiguity) ที่สหรัฐฯ ใช้มานาน

 

ที่ผ่านมา รัฐบาลญี่ปุ่นหวังว่าปัญหาไต้หวันจะได้รับการแก้ไขอย่างสันติผ่านการเจรจา และเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นมักจะหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงไต้หวันในการอภิปรายด้านความมั่นคง

 

ในเหตุการณ์ล่าสุดนี้ กระทรวงการต่างประเทศของจีนกล่าวว่า คำพูดของทาคาอิจิ ถือเป็นการ ‘แทรกแซงอย่างโจ่งแจ้งต่อกิจการภายในของจีน’ (A Gross Interference in China’s Internal Affairs) โดยย้ำว่า ‘ไต้หวันคือไต้หวันของจีน’ และจีนจะไม่ทนต่อการแทรกแซงจากต่างชาติใดๆ ในประเด็นนี้

 

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนยังตั้งคำถามว่า ผู้นำญี่ปุ่นกำลังพยายามส่งสัญญาณอะไรไปยังกองกำลังแบ่งแยกดินแดนที่ต้องการเอกราชของไต้หวัน และญี่ปุ่นพร้อมที่จะท้าทายผลประโยชน์หลักของจีนและหยุดการรวมชาติ หรือไม่

 

วิวาทะที่เกิดขึ้นระหว่างญี่ปุ่นและจีนนี้ ทำให้เกิดบรรยากาศตึงเครียดระลอกใหม่ในแถบเอเชียตะวันออก ซึ่งอาจจะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่า วิวาทะเดือดในครั้งนี้จะทำให้สถานการณ์บานปลายไปในทิศทางใดหรือไม่

 

แฟ้มภาพ: Chung Sung-Jun / Getty Images

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising