เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐอเมริกา ออกโรงยืนยันต่อสภาคองเกรสเมื่อวันจันทร์ (15 พฤษภาคม) ว่าหากสหรัฐฯ ยังไม่มีการบรรลุข้อตกลงขยายเพดานหนี้ได้ตามกรอบเวลาที่กำหนด จะทำให้ประเทศมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ได้ โดยอย่างเร็วสุดภายในวันที่ 1 มิถุนายนนี้
เยลเลนกล่าวว่า ด้วยข้อมูลที่ทางกระทรวงการคลังมีอยู่ในมือในขณะนี้ ทำให้ประเมินได้ว่าทางกระทรวงการคลังน่าจะไม่สามารถปฏิบัติตามภาระผูกพันทั้งหมดของรัฐบาลได้อีกต่อไป หากสภาคองเกรสไม่ดำเนินการเพื่อขยายเพดานหนี้ภายในต้นเดือนมิถุนายน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- เจเน็ต เยลเลน เรียกซีอีโอบริษัทชั้นนำทั่วสหรัฐฯ เข้าพบส่วนตัว เพื่อชี้ปมผลกระทบเพดานหนี้
- ไบเดน-แมคคาร์ธี เตรียมถกปม ‘เพดานหนี้’ รอบใหม่อังคารนี้ หรือ 1 วันก่อนไบเดนเดินทางประชุม G7
- เจเน็ต เยลเลน เผยแผนกำหนดเพดาน ‘ราคาน้ำมันรัสเซีย’ ได้ผล หลังรัสเซียยอมลดราคาขายล็อตใหญ่ให้ ‘จีน-อินเดีย’
ความเห็นดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ทำเนียบขาวและผู้นำรัฐสภาเตรียมพบปะกันในวันนี้ (16 พฤษภาคม) เพื่อดำเนินการเจรจาต่อไปเกี่ยวกับการปรับลดการใช้จ่ายเพื่อแลกกับการที่สภาจะผ่านการปรับขึ้นเพดานหนี้ วุฒิสภาเสียงข้างมากจากพรรคเดโมแครตคาดว่าจะสนับสนุนอะไรก็ตามที่ทำเนียบขาวเจรจากับทางสภา
ทั้งนี้ ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมามีรายงานค่อนข้างสับสนเกี่ยวกับความคืบหน้าของสถานการณ์การเจรจา โดยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ พยายามโน้มน้าวให้เกิดเสียงสนับสนุน ซึ่งรวมถึงการชี้ให้เห็นข้อดีของการบรรลุข้อตกลงกับพรรครีพับลิกัน เพื่อเพิ่มหรือระงับวงเงินหนี้ให้ทันเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐฯ
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า ทางพรรครีพับลิกันมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะบรรลุข้อตกลงขยายเพดานหนี้ ดังนั้นโดยส่วนตัวแล้วจึงเชื่อว่าสหรัฐฯ จะสามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ในที่สุด ซึ่งทางไบเดนยังได้ย้ำกับผู้สื่อข่าวเมื่อวันอาทิตย์ (14 พฤษภาคม) ว่าตนเองยังคาดหวังผลลัพธ์ในทางบวก เนื่องจากเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมาตั้งแต่เกิด
อย่างไรก็ตาม ทางฝั่ง เควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ สังกัดพรรครีพับลิกัน กลับไม่ได้มองโลกในแง่ดีตามไบเดน โดยกล่าวชัดเจนว่า เป้าหมายการบรรลุข้อตกลงร่วมกันยังคงอยู่อีกห่างไกล และจนถึงขณะนี้ยังไม่เห็นหนทางที่ทั้งสองฝ่ายจะบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้
ด้านเยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ได้เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนของสถานการณ์ โดยระบุว่า การรอจนถึงนาทีสุดท้ายเพื่อขยายเพดานหนี้อาจส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อความเชื่อมั่นทางธุรกิจและผู้บริโภค รวมถึงเป็นการเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมระยะสั้นสำหรับผู้เสียภาษี และส่งผลเสียต่ออันดับเครดิตของสหรัฐฯ โดยเยลเลนกล่าวว่า ขณะนี้มองเห็นต้นทุนการกู้ยืมของตราสารหนี้สำหรับหลักทรัพย์ที่จะครบกำหนดชำระในต้นเดือนมิถุนายนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก
ทั้งนี้ จดหมายชี้แจงฉบับใหม่ของเยลเลนมีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากคำแนะนำจากสำนักงานงบประมาณรัฐสภา หรือ Congressional Budget Office (CBO) ที่กล่าวว่ารายได้จากภาษีและมาตรการฉุกเฉินหลังวันที่ 15 มิถุนายน “อาจจะอนุญาตให้รัฐบาลดำเนินการจัดหาเงินทุนต่อไปได้จนถึงสิ้นเดือนกรกฎาคมเป็นอย่างน้อย”
นอกจากนี้ รายงานของ CBO ยังระบุว่า หากข้อกำหนดเพดานหนี้ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ก็จะมีความเสี่ยงอย่างมากที่ในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายน รัฐบาลจะไม่สามารถชำระภาระผูกพันทั้งหมดได้อีกต่อไป
อ้างอิง: