หลังประกาศจบการศึกษาจากการเป็นสมาชิกวง BNK48 เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561 เจตสุภา เครือแตง หรือ แจน BNK48 ก็เดินหน้าสานฝันในวงการบันเทิงของตัวเองต่อทันทีในชื่อ Jan Chan (แจนจัง) โดยเริ่มต้นจากการเป็นทูตการท่องเที่ยวของจังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido Smile Ambassador) ที่มีทั้งงานอีเวนต์ ถ่ายแบบ ออกแบบผ้า ทำโฟโต้บุ๊ก มาท้าทายความสามารถของเธอ
แต่สิ่งที่เธออยากโฟกัสมากที่สุดก็ยังคงเป็นการ ‘ร้องเพลง’ ที่เธอยอมรับอย่างถ่อมตัวว่า เธอยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสถานะจากไอดอลมาเป็นศิลปินฝึกหัดที่ต้องพัฒนาตัวเองอีกมาก โดยมีซิงเกิลเปิดตัว You Make Me (My Dreams) ที่เพิ่งปล่อยมิวสิกวิดีโอมาให้แฟนๆ ได้หายคิดถึง เมื่อวันที่ 1 กันยายนที่ผ่านมา พร้อมกับเพลง Lanla (la la la) ที่ทะยานขึ้นอันดับ 4 ทันที หลังจากที่ปล่อยให้ดาวน์โหลดผ่าน iTunes
ในวันที่ THE STANDARD POP มีนัดพูดคุยเพื่ออัปเดตเรื่องราวต่างๆ ในชีวิต เราแอบคาดหวังว่า บทสัมภาษณ์นี้คงจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ตามภาพกราฟชีวิตของเธอที่เหมือนกำลังพุ่งสูงขึ้นทุกขณะ แต่ชีวิตของเธอก็ไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปที่เต็มไปด้วยความกดดัน ผิดหวัง และอีกหลายสิ่งที่เด็กสาวคนหนึ่งต้องต่อสู้ด้วยตัวเอง
รวมทั้ง ‘สัญญาใจ’ ที่แจนตั้งใจรักษาไว้กับแฟนคลับ ที่อาจทำให้เส้นทางการเป็นศิลปินของเธอลำบากยิ่งขึ้น ก็ยิ่งทำให้เรารู้ว่า เส้นทางกว่าจะได้เข้ามาเป็นไอดอลว่ายากแล้ว แต่เส้นทางหลังจากนั้นยิ่งยากกว่าอีกหลายเท่าตัว
ชีวิตวัยเด็กของเด็กหญิงเจตสุภาเป็นอย่างไรบ้าง
เป็นเด็กเฉยๆ ไม่มีอะไรโลดโผน ไม่มีงานอดิเรกหรือความสามารถพิเศษอย่างอื่นเลย ใช้ชีวิตตามหน้าที่นักเรียนทั่วไป ตั้งใจเรียนในห้อง เย็นกลับมาทำการบ้าน ตื่นเช้าไปเรียนใหม่ อาจจะไม่ใช่เด็กเรียบร้อย แต่ก็ไม่ได้ซ่าถึงขนาดเกเร เวลาอยู่กับคนที่ไม่สนิทจะเงียบหน่อยๆ แต่ถ้าอยู่กับเพื่อนก็จะวี้ดว้ายกระตู้ฮู้
เริ่มอยู่ในลูปนั้นตั้งแต่อนุบาลจนถึง ม.6 เพราะไม่รู้เลยว่าตัวเองชอบอะไร เลือกเรียนสายวิทย์-คณิตตามบริบททางสังคม คิดว่าสายนี้ดูเป็นที่ยอมรับ พ่อแม่น่าจะภูมิใจ เห็นเพื่อนเรียนก็เรียนตาม เป็นคนตามน้ำมาตลอด
เด็กที่ไม่มีความชอบเป็นพิเศษอย่างแจนทำอย่างไรเวลาเจอคำถามว่าโตไปอยากเป็นอะไร
ตอบยากมากเลย แต่ละปีก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ มีตอบว่าค้าขายตามพ่อแม่ หมอบ้าง วิศวกรบ้าง เพราะที่บ้านแอบคาดหวังไว้เล็กๆ หรือบางทีก็เปลี่ยนเวย์ไปทางอยากเป็นครูสอนศิลปะไปเลย
แต่มีครั้งหนึ่งที่จำได้ถึงตอนนี้ คือไปเข้าค่ายละลายพฤติกรรมของโรงเรียนตอนช่วง ม.ปลาย เขามีกิจกรรมตอนปิดค่ายให้ทุกคนตะโกนพร้อมกันว่า โตขึ้นอยากเป็นอะไร แจนสับสนมาก แต่แทนที่จะตอบไปแบบเคยคิด แต่ในวินาทีสุดท้ายดันตะโกนออกมาว่า อยากเป็นนักแสดง ซึ่งไม่เคยมีอยู่ในความคิดเลยนะ นึกชื่อนักแสดงไม่ออก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการแสดงคืออะไร ต้องทำอะไรบ้าง เหมือนเป็นจิตใต้สำนึกที่ทำให้พูดออกไปแบบนั้น
หลังจากนั้นทำอย่างไรกับความฝันที่เพิ่งเกิดขึ้นมาเป็นครั้งแรกในชีวิต
กลับมาเรียนเหมือนเดิมแล้วก็ลืมมันไป (หัวเราะ) จนมาเจอจุดเปลี่ยนอีกครั้งตอนเข้ามหาวิทยาลัย แจนยื่นคะแนนผ่านคณะสายวิทย์ของจุฬาฯ แล้ว แต่อยู่ดีๆ ก็ไม่เอา เพราะเหมือนมีอะไรบางอย่างบอกว่าให้ทำตามสิ่งที่ชอบดีไหม เลยตัดสินใจเลือกเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ (สาขาวิชาการออกแบบนิเทศศิลป์) ของ ม.กรุงเทพ ทั้งที่วาดรูปก็ไม่ค่อยเป็น แต่เลือกเพราะเห็นภาพหนึ่งของรุ่นพี่ในคณะที่ลงเว็บไซต์ แล้วคิดว่าสวยมาก เราอยากทำภาพให้ได้แบบนั้น ก็เลยตัดสินใจว่าเรียนทางนี้แล้วกัน
โชคดีที่ครอบครัวของแจนดีมาก เขาให้อิสระในการตัดสินใจกับลูกเสมอ ทั้งที่ลึกๆ เขาก็อยากให้เราเป็นหมอ อยากให้รับราชการ เพราะคิดว่าเป็นอาชีพที่มั่นคง แต่ทีนี้ลูกดันดื้อไง (หัวเราะ)
เมื่อเข้ามาเรียนจริงๆ ชีวิตของเด็กสายวิทย์-คณิตที่ไม่เคยฝึกวาดรูปมาก่อนเป็นอย่างไร
ลำบากอยู่ค่ะ เวลานั่งเรียนก็จะเห็นเพื่อนที่นั่งข้างกันมีสกิลขั้นเทพ แต่แจนมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ไม่ว่าเรื่องนั้นจะยากแค่ไหน ถ้าเราตั้งใจกับมันจริงๆ สุดท้ายเราจะทำมันได้ แจนก็พยายามฝึกดรอว์อิ้ง ฝึกพื้นฐานใหม่อย่างหนัก ช่วงแรกก็มีท้อบ้าง เพราะเพื่อนได้ A กันหมด แต่เราได้ C+ แต่จะมีพวกวิชา Identity Art (วิชาที่เกี่ยวข้องกับอัตลักษณ์ทางศิลปะ) กับวิชาเกี่ยวกับโฆษณา ครีเอทีฟ ที่ทำได้ค่อนข้างดี และเป็นแรงฮึดว่า ถึงไม่ได้มาทางนี้โดยตรง แต่ก็ยังมีบางวิชาที่ทำได้ดี
เคยมีเรื่องไหนบ้างที่รู้สึกว่าพยายามเต็มที่แล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่สามารถทำได้อยู่ดี
ยังนึกไม่ออกนะ ถ้าถึงขนาดทำไม่ได้คิดว่าไม่มี แต่พอทำได้แล้วจะถึงขนาดดีเลยหรือเปล่า เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพราะเมื่อเราตั้งใจทำอะไรสักอย่าง สุดท้ายมันจะมีผลอะไรบางอย่างที่เป็นรูปธรรมออกมาแน่ๆ เช่น แจนฝึกวาดรูปอย่างหนัก สุดท้ายอาจจะไม่ถึงขนาดวาดเก่งเหมือนเพื่อนๆ แต่อย่างน้อยผลลัพธ์จะแสดงออกมาผ่านทุกๆ ลายเส้น ทุกๆ รูปที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นอาจต้องย้อนกลับไปว่า ที่บอกว่าทำไม่ได้ จริงๆ แล้วอาจเป็นเพราะเรายังไม่ได้ลงมือทำ และตั้งใจกับมันมากพอหรือเปล่า
สุดท้าย อะไรทำให้คนที่เคยคิดทำอาชีพค้าขาย หมอ วิศวกร นักแสดง คนทำงานศิลปะ กระโดดเข้าสู่วงการบันเทิงในฐานะไอดอลอย่างเต็มตัว
เห็นเขาใส่ชุดน่ารักๆ ออกมาร้อง มาเต้นในมิวสิกวิดีโอของ ABK48 แล้วรู้สึกว่าอยากทำแบบนั้นบ้าง (หัวเราะ) แล้ว BNK48 ประกาศรับสมัครในช่วงที่อายุแจนถึงเกณฑ์พอดี ก็เลยตัดสินใจสมัครดู เพราะถ้าไม่ไปตอนนั้น ปีต่อไปก็ไม่มีโอกาสแล้ว เราไม่อยากตัดโอกาสของตัวเอง ลองไปดูก่อน ถ้าไม่ได้ค่อยว่ากัน
ซึ่งพื้นฐานการร้องและเต้นก่อนหน้านั้นของแจนถือว่า…
ติดลบ (หัวเราะ) ไม่เคยร้อง ไม่เคยเต้น ไม่เคยแสดงในงานโรงเรียน เพราะเป็นเด็กที่ชอบอยู่ในเซฟโซน ซึ่งพอได้มาเป็นสมาชิก BNK48 ก็เป็นอย่างที่คิด คือพื้นฐานของแจนน้อยมากถ้าเทียบกับคนอื่น โดยเฉพาะการเต้น มีอยู่ครั้งหนึ่งคุณครูจากญี่ปุ่นมาสอน คนอื่นเต้นได้หมด แล้วคุณครูชี้มาที่เราบอกว่า “หนูไปนั่งก่อนนะลูก” โอ๊ย ความรู้สึกแย่มาก แต่ก็ใช้ความเชื่อเดิม คือถ้าเราตั้งใจเราต้องทำได้ กลับไปซ้อมหนัก ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง สุดท้ายก็สามารถเกาะกลุ่มไปกับเพื่อนๆ ได้
แต่สุดท้ายแจนก็ตัดสินใจจบการศึกษา ทำไมถึงตัดสินใจแบบนั้น ทั้งที่ทุกอย่างก็เหมือนว่ากำลังจะไปได้ดีแล้ว
บอกก่อนว่านี่คือการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของแจนเลยนะ ระยะเวลาตัดสินใจอาจไม่นาน แต่แจนคิดกับเรื่องนี้เยอะมาก เพราะรู้ว่ามีเอฟเฟกต์หลายอย่างมากจากการตัดสินใจครั้งนี้ อย่างที่บอกว่าแจนเป็นคนที่มีแพสชันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามแต่ละช่วงของชีวิต ตอนเด็กๆ ก็ตัดสินใจตามความต้องการของตัวเองเป็นหลัก พอโตมาเริ่มเห็นพ่อแม่ เห็นคนในครอบครัวอายุมากขึ้น ถ้าเรายังคิดอะไรแบบเดิม เมื่อไรเราจะมีบ้าน มีรถ มีอะไรหลายๆ อย่างกลับไปคืนให้พ่อแม่ได้สักที เลยตัดสินใจเลือกว่าเราจะโตขึ้นไปอีกสเตปให้ได้
ไม่รู้หรอกว่าการตัดสินใจแบบนี้จะถูกหรือผิด เพราะทางหนึ่งคือแฟนคลับที่เราก็รัก แต่ในหัวก็คิดว่าแบบนี้เราสามารถทำเพื่อพ่อแม่ได้ดีกว่า อันนี้คือโคตรบีบหัวใจเลยนะ ขนาดพูดตอนนี้ก็ยังรู้สึกอยู่ ถึงจะผ่านมานานแล้ว ได้แต่หวังว่าแฟนคลับจะเข้าใจเรา ซึ่งก็มีทั้งส่วนที่เข้าใจและไม่เข้าใจ บางคนก็บอกบ๊ายบายเราตั้งแต่ตอนนั้น
เสียใจไหมเมื่อรู้ว่ามีแฟนคลับบางคนตัดสินใจไม่ติดตามเราต่อไปแล้ว
ก็เสียใจนะ เหมือนเขาบอกว่ารักเรา แต่แล้วเขาก็ไป อ้าว ไม่รักเราแล้วเหรอ
เพราะเขาคิดว่าแจนก็ไม่ได้รักเขาแล้วหรือเปล่า
ใช่เลยค่ะ มีหลายส่วนเลยที่บอกว่าทิ้งเขาไปทำไม แจนพยายามบอกอยู่เสมอว่า แจนยังอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ไปไหน ยังคอยผลิตผลงานออกมาเรื่อยๆ แต่จะตรงกับที่เขาชอบหรือเปล่า คงต้องให้ผลงานเป็นตัวตัดสิน ซึ่งถ้าเขาเลือกบ๊ายบาย เพราะไม่ชอบผลงานจริงๆ ก็ไม่เป็นไร หรือคนที่บ๊ายบายตั้งแต่แจนออกจากวง ก็ไม่เป็นไร เข้าใจว่าส่วนหนึ่งเขาติดตามเราก็เพราะเขาชอบในระบบของ 48 Group มากกว่าที่จะชอบตัวเราจริงๆ อันนี้ก็ไม่เป็นไร เข้าใจเสมอว่าเราไม่สามารถบังคับความรักความชอบของใครได้ ขนาดพ่อแม่ยังบังคับการเลือกของเราไม่ได้เลย (หัวเราะ)
หลังออกจากวง BNK48 ตอนนี้แจนนิยามตัวเองว่ากำลังทำอาชีพอะไรอยู่
จริงๆ ก็ผ่านงานมาแล้วหลายอย่าง ทั้งถ่ายแบบ โฟโต้บุ๊ก งานออกแบบ ฯลฯ แต่ที่แจนอยากโฟกัสมากที่สุดคือ การร้องเพลง แต่คิดว่าตัวเองยังห่างไกลที่จะเรียกตัวเองว่าศิลปินเต็มตัว คงเป็นได้แค่ศิลปินฝึกหัด เพราะแจนยังต้องฝึกเรื่องการร้องเพลงอีกเยอะมาก
ทั้งที่ก่อนหน้านี้แจนก็ผ่านการฝึกอย่างหนักเป็นเวลาหนึ่งปีในฐานะไอดอลมาแล้วนะ แต่การร้องเป็นแค่พาร์ตหนึ่งของทั้งหมด รวมกับการฝึกเรื่องการแสดงออก บุคลิกภาพ รวมทั้งการออกงานต่างๆ ที่มีเยอะมาก ทำให้ไม่ได้ฝึกร้องเพลงแบบ 100% เต็มๆ ถ้าเทียบกับศิลปินคนอื่นๆ เขาต้องฝึกหัดอยู่นานมาก กว่าจะเดบิวต์มีผลงานของตัวเองออกมา แต่กลายเป็นว่าแจนมีผลงานออกมาแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้มีเวลาพัฒนาตัวเองมากเท่าไร ยอมรับเลยว่าความสามารถของแจนยังห่างไกลจากคนที่ฝึกมาหลายปีอีกเยอะมาก แจนอยากฝึกตัวเองให้มากกว่านี้ ไม่ใช่คิดแค่ว่าเรามีคนรู้จัก มีฐานแฟนคลับเยอะ แล้วคิดว่าตัวเองจะเป็นอะไรหรือทำอะไรก็ได้
ตอนนี้ชีวิตของศิลปินฝึกหัดที่ชื่อ Jan Chan ต้องทำอะไรบ้าง
หลักๆ คือฝึกร้องด้วยตัวเองที่บ้าน พยายามบังคับตัวเองให้ฝึกร้องเพลงทุกวัน แต่เพราะก่อนหน้านี้แจนมีอีเวนต์เยอะ รวมทั้งต้องบินไปคุยงานที่ประเทศญี่ปุ่นบ่อย ทำให้ไม่มีเวลาไปเข้าคอร์สเรียนร้องเพลงกับคุณครูให้เป็นเรื่องเป็นราว พอมาฝึกเองก็ทำแบบผิดวิธี หรือใช้วิธีฮาร์ดคอร์มากๆ จนป่วย มีอยู่ครั้งหนึ่งเจ็บคอจนเสียงแหบ แค่หายใจก็เจ็บแล้ว แต่เราอยากฝึกให้มากที่สุด เพราะรู้เลยว่าเรายังทำได้ไม่ดี บางครั้งไปออกอีเวนต์ที่ต้องร้องเพลงแล้วไม่กล้าอัดคลิปมาปล่อยให้แฟนคลับฟังด้วยซ้ำ
เวลาไปคุยงานที่ประเทศญี่ปุ่นแจนต้องทำอะไรบ้าง
ทำทุกอย่างเลยค่ะ ตั้งแต่ไปแนะนำตัวให้เขารู้จัก คุยกับรัฐบาลญี่ปุ่นว่าเราเป็นใคร มาทำอะไร มาช่วยโปรโมตการท่องเที่ยวเมืองฮอกไกโดให้คนรู้จักอะไรก็ว่าไป พูดซ้ำๆ เหมือนตอนออกสื่อแนะนำตัว BNK48 ช่วงแรกๆ เลย (หัวเราะ) ไปครั้งหนึ่งก็ต้องคุยหลายทีมาก เพราะค่าตั๋วแพง ต้องเอาให้คุ้ม (หัวเราะ)
เขาก็จะพิจารณาว่าอยากทำโปรเจกต์กับเราหรือเปล่า ถ้าสนใจจะมีงบประมาณให้เท่าไร แล้วเข้าสู่ช่วงการคุยงานพัฒนาโปรเจกต์ต่อ ซึ่งก็ต้องบินไปที่ญี่ปุ่นบ่อย เพราะเขาให้ความสำคัญกับการประชุมและวางแผน ทุกอย่างต้องเป๊ะก่อนเริ่มทำงาน นอกจากนี้ยังมีงานถ่ายแบบ งานโปรโมตกับสื่อฯ ที่ญี่ปุ่น ทำโฟโต้บุ๊ก ทำมิวสิกวิดีโอ
แล้วเราต้องเข้าไปคุยด้วยทุกครั้ง ไม่ใช่แค่ให้ผู้ใหญ่ไปคุยอย่างเดียว เพราะเขาจะถามความคิดเห็นของเราด้วย โดยเฉพาะพวกโฟโต้บุ๊ก ที่เราเลือกได้ว่าอยากให้รูปออกมาเป็นสไตล์ไหน สวย น่ารัก เซ็กซี่ พังก์ร็อก อยากไปถ่ายตรงไหนบ้าง ไปถึงขนาดหนังสือ ความหนา บาง กระดาษที่จะใช้ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ทุกอย่าง เขาถามความคิดเห็นแล้วทำตามเราหมด เหมือนหน้าที่ของเขาคือฟังความต้องการของเรา แล้วไปผลิตออกมาเป็นผลงาน
ตอนเป็นสมาชิก BNK48 ที่มีระบบทุกอย่างชัดเจน แจนน่าจะไม่คุ้นกับการทำงานแบบนี้เท่าไร
แต่แจนไม่ได้มีปัญหากับระบบของวงนะ เพราะเข้าใจเหตุผลว่าทำไมเขาต้องเซตทุกอย่างไว้แบบนั้น เขาต้องดูแลภาพลักษณ์ของเรา รวมทั้งการมีสมาชิกในวงเกือบ 30 คน คงเป็นอะไรที่ยากมากถ้าจะต้องฟังความคิดเห็นของทุกคน
มีอะไรในตัวแจนที่เปลี่ยนไปบ้าง หลังออกจากวง BNK48
เรื่องความเป็นผู้ใหญ่มีมากขึ้นแน่นอน เพราะเราต้องจัดการชีวิตด้วยตัวเองทั้งหมด ไม่มีใครมาคอยเป็นห่วงแล้วว่า วันนี้จะต้องซ้อม จะต้องทำอย่างนี้ๆ นะ ตอนนี้เต็มที่ทางผู้ใหญ่ก็จะบอกแผนกับตารางงานมาว่า เดี๋ยวเราจะต้องทำอะไร แต่ระหว่างทางเราต้องเป็นคนดูแลตัวเองทั้งหมด ซึ่งยังทำได้ไม่ดีเท่าไร เพราะรู้สึกว่าเพิ่งเริ่มเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
ที่สำคัญคือ ตอนนี้ถ้าเผยแพร่ผลงานอะไรออกไปแล้วไม่ดี จะไม่มีใครคอยปกป้องเราแล้ว ฟีดแบ็กทุกอย่างจะพุ่งเข้ามาหาเราโดยตรง โดยเฉพาะคอมเมนต์จากทั้งแฟนคลับและคนที่ไม่เคยติดตามเรามาก่อน จะเป็นตัวสะท้อนว่าเราจัดการชีวิตของตัวเองในตอนนี้ได้ดีแค่ไหน
เมื่อก่อนเสียงส่วนใหญ่มาจากแฟนคลับที่ชื่นชอบและเข้ามาชมแจนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้น่าจะมีคอมเมนต์จากทุกที่พุ่งเข้ามาเยอะ แจนมีวิธีรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรบ้าง
จริงๆ คอมเมนต์แย่ๆ ก็มีมาตั้งแต่เป็นไอดอลใหม่ๆ แล้วนะคะ (หัวเราะ) แรกๆ ก็ยังรับมือไม่ค่อยได้ เจ็บจี๊ดทุกครั้งที่อยู่ดีๆ ก็มีใครไม่รู้มาต่อว่าเรา เหมือนธนูที่ไม่เห็นคนยิง แต่ปักเข้ามากลางหัวใจของเรา แต่พอโตขึ้นเราพอมีภูมิคุ้นกันมากขึ้นที่จะแยกแยะออกว่าอันไหนคือคอมเมนต์ที่หวังดีกับเราจริงๆ หรืออันไหนแค่คอมเมนต์เอาสะใจ เราเริ่มเฉยกับคอมเมนต์ประเภทแอนตี้ แต่ถ้าเป็นคอมเมนต์เรื่องผลงานที่ไม่ดีด้วยเหตุและผล อันนี้จะขอบคุณมาก เราจะได้เอามาพัฒนาตัวเองต่อไป เพราะตอนนี้ไม่มีคุณครูมาคอยบอกแล้วว่าผลงานเราเป็นอย่างไร เราต้องคิดทุกอย่างด้วยตัวเอง
มิวสิกวิดีโอเพลง You Make Me (My Dreams)
รู้สึกแตกต่างกันเยอะไหม จากเดิมเวลาปล่อยซิงเกิลของ BNK48 ออกมา แล้วมีเสียงของแจนออกมาแค่นิดเดียว แต่ตอนนี้กลายเป็นได้ยินเสียงตัวเองแบบเต็มๆ เพลง
ความรู้สึกแรกคือ โอ้โห สุโก้ย (หัวเราะ) แต่เอาจริงๆ ตอนที่อัดเพลง You Make Me (My Dreams) คิดว่านั่นคือ The Best ที่ไม่สามารถร้องได้ดีไปกว่านี้ได้แล้ว พอฟังเวอร์ชันมาสเตอร์ กลายเป็นยังมีจุดที่ไม่ชอบเยอะมาก ทำไมท่อนนี้ถึงร้องแบบนี้ ทำไมร้องเสียงอู้อี้ ทำไมร้องเพลงเสียงเหมือนมิกกี้เมาส์ เจอจุดที่ไม่ชอบในเสียงตัวเองเต็มไปหมด
ส่วนหนึ่งอาจเพราะช่วงฝึกร้องเพลงด้วยตัวเอง แจนพยายามปรับจูนการร้องไปเรื่อยๆ ได้ยินคอมเมนต์จากใครก็ปรับ ชอบ The TOYS หรือชอบใครก็พยายามเป็นแบบนั้น อะไรที่คิดว่าดี ก๊อบปี้เขามั่วไปหมด จนไม่รู้เลยว่าเสียงเราเป็นแบบไหนกันแน่
จนล่าสุด แจนกับครอบครัวไปหาหลวงพ่อที่นับถือ พอท่านรู้ว่าตอนนี้แจนเป็นนักร้อง ก็พูดมาคำหนึ่งว่า “เป็นตัวเองให้มากที่สุดนะ” แล้วนึกถึงที่เราไม่ชอบเสียงของตัวเอง เลยหาวิธีต่างๆ เพื่อเป็นคนอื่น แต่สุดท้ายจะมีประโยชน์อะไร ต่อให้เราร้องเหมือนคนอื่นแค่ไหน สุดท้ายก็จะไม่มีคนจำเสียงเราได้อยู่ดี ถึงแม้จะมีบางกลุ่มที่ไม่ชอบเสียงของเรา แต่ก็ต้องมีบางกลุ่มที่เขาชอบความเป็นตัวเราแบบนี้ ถ้าทำแบบนั้นได้จริงๆ มันน่าภูมิใจกว่าการที่เขาชอบเพราะเราเสียงเหมือนคนอื่นไม่ใช่เหรอ
ทำไมคำพูดของหลวงพ่อถึงมีพลังกับแจนมากขนาดนั้น เพราะตอนที่เป็นไอดอล แจนก็น่าจะเคยได้ยินคำว่า ‘เป็นตัวเอง’ มาอยู่แล้วหรือเปล่า
ตอนนั้นแจนไม่ได้มีความสับสนวุ่นวายว่าจะต้องไปก๊อบปี้คนนั้นคนนี้มาก่อน ค่อนข้างชัดเจนว่า ในเรื่องการแสดงออกเราเป็นคนแบบไหน อาจมีปรุงแต่งบ้างนิดหน่อย เพื่อเป็นสีสันและกิมมิก แต่ไม่ได้ซีเรียสเรื่องการวางคาแรกเตอร์ขนาดนั้น เพราะแจนจะเครียดเรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์ การร้อง การเต้น ที่ยังทำได้ไม่ดีมากกว่า แต่การร้องเพลงเหมือนตอนที่แจนเรียนปีหนึ่งแล้วไม่เคยรู้เรื่องวาดรูปมาก่อน ก็เลยอิจฉาคนอื่นที่วาดรูปเก่ง มีลายเส้นสวยๆ แล้วพยายามเลียนแบบเขา
ทั้งที่ออกจากวง BNK48 มาสักพักแล้ว แต่ทำไมเรายังได้ยินว่าแจนยังไม่สามารถถ่ายรูปคู่กับแฟนคลับได้อยู่
แจนคิดว่าความเป็นไอดอลไม่สามารถสลัดออกได้ภายในช่วงเวลาสั้นๆ และต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไรก็ไม่ทราบเหมือนกัน ตอนเราอยู่ในวง การถ่ายรูปของเราสามารถแปลงเป็นเงินได้ มีหลายคนที่เก็บหรือต้องตามหารูปและลายเซ็นของเรามาอย่างยากลำบาก นั่นคือมูลค่าที่แฟนคลับเสียไป แล้วอยู่ดีๆ วันหนึ่ง ออกจากวงปุ๊บ ทุกคนสามารถถ่ายรูปกับเราได้หมด แล้วรูปที่เขาเสียเงินตามหามาจนได้ล่ะ มันเป็นการหักหาญน้ำใจเขาเกินไปไหม เพราะรูปพวกนั้นจะกลายเป็นแค่เศษกระดาษ ซึ่งแจนแคร์ตรงนี้มากๆ ไม่ใช่แค่เรื่องของเงินด้วย แต่หมายถึงมูลค่าทางจิตใจ ที่เราไม่อยากไปทำร้ายของที่เขารักและหวงมากๆ
แต่พอมาในเส้นทางศิลปินจริงๆ ก็ต้องบอกว่ายากโคตรๆ เพราะคนทั่วไปถ่ายรูป เซลฟี จับมือ ทำทุกอย่างกับศิลปินได้ เรามีความลำบากใจตรงนี้อยู่ กับคนที่เข้าใจเขาก็โอเค แต่กับคนที่ไม่เคยติดตามวงการไอดอลมาก่อน เราจะกลายเป็นคนเรื่องมาก หยิ่งยะโส แล้วเขาก็จะบ๊ายบายเราได้ทันที
มันยากที่จะพูดให้ทุกคนเข้าใจอย่างละเอียด เอาง่ายๆ แค่ให้สัมภาษณ์ตอนนี้ยังต้องใช้เวลา แต่เวลาไปออกอีเวนต์ต่างๆ มันมีเวลาน้อยมาก ได้แต่ตอบเขาไปว่า เราติดสัญญาบริษัทอยู่ ซึ่งเป็นเหตุผลที่สั้นและกระชับที่สุดเท่าที่เราสามารถอธิบายให้คนภายนอกเข้าใจได้ แต่จริงๆ ไม่มีกฎห้ามแล้ว อันนี้คือสัญญาใจที่แจนให้กับแฟนคลับกลุ่มเดิมหลังจากเราออกมา
ตอนแรกเราคิดว่าการเป็นศิลปินของแจนน่าจะไม่ใช่เรื่องยาก เพราะมีฐานแฟนคลับที่คอยติดตามอยู่แล้ว แต่ถ้าฟังแบบนี้ อาจจะยากกว่าคนที่เริ่มต้นจากศูนย์ด้วยซ้ำ
ใช่ค่ะ แล้วแจนไม่รู้ด้วยว่าสัญญาใจตรงนี้จะคลี่คลายไปเมื่อไร แต่คิดว่าน่าจะนานนน (ลากเสียง) พอสมควร แต่จะมีข้อยกเว้นบางอย่างที่อยากบอกเหมือนกันคือ บางอีเวนต์ที่เห็นแจนถ่ายรูปกับคนอื่นได้ เพราะนั่นคือคนจ้างงานเรา (หัวเราะ) บางคนเขาเป็นผู้ใหญ่ไม่รู้สตอรีมาก่อน และอยากถ่ายรูปด้วย ถ้าปฏิเสธเราจะกลายเป็นเด็กก้าวร้าวในสายตาคนจ้างงาน และเป็นการปิดโอกาสในการทำงานของเราทันที เลยอยากฝากตรงนี้ไว้ถึงแฟนคลับหลายๆ คนเหมือนกันว่า ขอเปิดพื้นที่ไว้ให้เรามีทางทำมาหากินนิดหนึ่ง (หัวเราะ)
สมมติว่าสัญญาใจฉบับนี้ยังอยู่ แต่เพลงของแจนดังมากๆ แล้วแจนกลายเป็นคนสาธารณะแบบเต็มตัวขึ้นมา จะทำอย่างไร เพราะปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วว่ากลุ่มคนฟังใหม่ๆ คือกำลังสำคัญที่จะมาสนับสนุนเส้นทางการเป็นศิลปินของแจนในอนาคต
โอ้โห ยังไม่เคยคิดถึงจุดที่เพลงของแจนจะแมสขึ้นมาได้เลยนะ (หัวเราะ) อาจจะต้องใช้เวลา 10-20 ปีก็ได้มั้ง ถ้านานขนาดนั้น เวลาอาจช่วยให้ความคาบเกี่ยวระหว่างศิลปินกับไอดอลหายไปแล้ว แต่ในระยะสั้น เราอยากรักษาสัญญาใจกับแฟนคลับตรงนี้ไว้อยู่ เพราะอย่างที่บอกว่า เราแคร์เขามากจริงๆ ถึงแม้อาจจะต้องแลกกับการที่บางคนไม่เข้าใจ แล้วไม่ชอบเราไปเลย ก็ต้องยอมรับ
พูดแบบนี้แฟนคลับ Jan Chan ก็สบายใจได้ระดับหนึ่งใช่ไหม เพราะอย่างน้อยแจนก็ยังคิดว่าจะเป็นศิลปินไปอีกนาน
เพราะยังไม่รู้ว่าจะไปทำอะไรนอกจากนี้มั้งคะ (หัวเราะ) ตอนนี้ยังคิดไม่ออกเลยว่าอยากทำอะไรในอนาคต 20 ปีข้างหน้า เพราะดูจากจุดเปลี่ยนหลายครั้งที่ผ่านมา แจนก็ยังคาดเดาตัวเองไม่ได้เหมือนกัน (หัวเราะ) วันหนึ่งอาจจะไปเล่นหุ้น ไปทำธุรกิจ หรือไปทำอย่างอื่นตามความชอบและแพสชันในตอนนั้นก็ได้ แต่ตอนนี้แจนอยากโฟกัสแค่เรื่องการเป็นศิลปิน การร้องเพลง และทำให้ดีที่สุดไปก่อน อนาคตจะเป็นยังไงค่อยมาว่ากันอีกที
เพลง เรือนแพ ของ ชรินทร์ นันทนาคร ศิลปินที่แจนยอมเสียเงินซื้อผลงานมาฟังเป็นครั้งแรก
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
- แจนประกาศจบการศึกษาจากการเป็นสมาชิกวง BNK48 ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561 และเปลี่ยนชื่อเป็น Jan Chan อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2561
- แจนได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตการท่องเที่ยวของจังหวัดฮอกไกโด (Hokkaido Smile Ambassador)
- สิ่งแรกที่แจนทำในทุกๆ เช้าหลังตื่นนอนคือ เปิดแฮชแท็ก #janchan ในทวิตเตอร์ เพื่อดูว่ามีฟีดแบ็กอะไรส่งมาถึงเธอบ้าง
- แทบไม่มีศิลปินคนไหนที่แจนชื่นชอบเป็นพิเศษ เธอไม่เคยซื้ออัลบั้มเพลงของนักร้องคนไหนมาก่อน กระทั่งได้ฟังเพลง เรือนแพ ของ ชรินทร์ นันทนาคร ครั้งแรกในคลาสวาดรูปตอนเรียนมหาวิทยาลัย และทำให้อัลบั้ม ในฝัน อัศจรรย์แห่งรัก เป็นอัลบั้มแรกและอัลบั้มเดียวในชีวิตที่แจนยอมเสียเงินซื้อ
- ติดตามความเคลื่อนไหวของแจนได้ที่ Facebook: JAN CHAN, Instagram: @janchan.xoxo และการไลฟ์ผ่านแอปพลิเคชัน Showroom