ในถ้อยแถลงหลังชัยชนะเหนือเลสเตอร์ ซิตี้ ที่ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่เพียงแต่ยังรักษาความหวังในการทำอันดับไปยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกฤดูกาลหน้าได้อย่างเหนียวแน่น พวกเขายังแอบมีลุ้นถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เบาๆ หนึ่งในคนที่ผู้จัดการทีมชาวดัตช์ขอชื่นชมคือ จาดอน ซานโช
“เขามาถูกทางแล้ว แต่ผมคิดว่าเขายังไปไม่ถึงขีดจำกัดของเขาในเวลานี้” กล่าวก่อนบอกต่อว่า “ยังเหลือสิ่งที่เขาจะสามารถพัฒนาได้อีกมากมาย”
อย่างไรก็ดี คำสำคัญที่สุดที่นายใหญ่ผู้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างภายในโอลด์แทรฟฟอร์ดคือคำว่า ‘ความสุขในการเล่นฟุตบอล’ ที่ดูเหมือนจะเป็นหัวใจในทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับปีกผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เล่นที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์ที่สุดของอังกฤษในยุคนี้
ใช่ ความสุขในการเล่นฟุตบอล
มันคือสิ่งที่ซานโชทำหล่นหายไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และเปลี่ยนแปลงเด็กคนหนึ่งที่เคยมีอนาคตสดใสให้กลายเป็นคนมืดมน
มันไม่นานเกินไปที่เราจะนึกออกว่าครั้งหนึ่งซานโชเคยเป็นปรากฏการณ์ที่ใครต่อใครก็พูดถึง เมื่อสตาร์ดาวรุ่งชาวอังกฤษได้โอกาสในการไปเติบโตและเปล่งประกายอยู่ที่บุนเดสลีกากับทีมที่ดีที่สุด ในการให้โอกาสนักเตะพรสวรรค์อายุน้อยอย่างโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์
เราได้ฮือฮากับจังหวะการลากเลื้อยที่เหมือนดูคลิปสอนการเล่นมายากลลูกหนังบน YouTube ไปจนถึงจินตนาการในการเล่น การสร้างสรรค์โอกาสทั้งตัวเองและให้คนอื่น จนทีมไหนต่อทีมไหนต่างก็ฝันไกลที่อยากจะได้เด็กคนนี้มาอยู่ด้วย
แล้วซานโชก็ได้ย้ายมาอยู่แมนฯ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวมหาศาลและความหวังมากมาย
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ชีวิตในโรงละครแห่งความฝันของเขา (และหลายคน) เป็นเหมือนฝันร้าย ทุกอย่างที่เคยวาดหวังวาดฝันไว้ค่อยๆ พังทลายจนไม่เหลืออะไรเลย
จนเขาหลุดจากทีมชาติอังกฤษชุดฟุตบอลโลก ซึ่งกลายเป็นเรื่องที่เลวร้ายที่สุดที่เกิดขึ้นกับคนที่เคยเป็นความหวังของประเทศ แต่มันก็คือความจริงด้วยเช่นกัน เพราะผลงานของเขากับสโมสรเองไม่เป็นที่น่าประทับใจเอาเสียเลย และกับทีมชาติเองเขาก็ไม่ได้เป็นคนเก่าเหมือนเดิม ความจริงทุกอย่างมันดิ่งเหวไปแล้วตั้งแต่เปลี่ยนตัวลงมาในนัดชิงชนะเลิศเพื่อทำหน้าที่ในการดวลจุดโทษ แต่เป็นหนึ่งในคนที่สังหารพลาด
หลังจากนั้นมีคนสังเกตเห็นว่าซานโชเปลี่ยนภาพโปรไฟล์ของเขาเป็นสีดำ ทำให้ผู้คนเริ่มวิตกกังวลและเป็นห่วง
จากนั้นคือการที่เขาถูกสั่งให้แยกตัวออกจากทีมชุดใหญ่เพื่อซ้อมเรียกสภาพความฟิตของตัวเองกลับมา ไม่ได้เดินทางไปเก็บตัวกับทีมในแคมป์ที่สเปนด้วยซ้ำ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขามันเป็นเรื่องง่ายมากที่จะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปตลอดกาล เพราะเขากำลังหลงทาง และในอดีตที่ผ่านมาก็เคยมีนักฟุตบอลที่มีพรสวรรค์สุดยอดมากมายหลายคนที่เคยเจอชะตากรรมคล้ายกันและไม่สามารถหาทางกลับมาได้
โชคดีสำหรับซานโชที่เขามีผู้จัดการทีมอย่าง เอริก เทน ฮาก ที่เข้าใจและพร้อมให้ 3 สิ่งที่สำคัญที่สุดกับเขา
อย่างแรกที่เทน ฮาก พร้อมมอบให้ซานโชคือ ‘เวลา’ ไม่มีการเร่ง รีบ หรือกดดันใดๆ ให้ซานโชต้องรีบกลับมา เขาสามารถใช้เวลาเท่าไรก็ได้ที่ต้องการ หากเขารู้สึกว่ามันจำเป็นและยังต้องการเวลาเพื่อเยียวยา เพราะปัญหาของเขาไม่ได้อยู่แค่เรื่องของสภาพร่างกาย แต่หัวใจของเขาก็ต้องได้รับการเยียวยาเช่นเดียวกัน
และการเยียวยาหัวใจนั้นไม่ใช่เพื่อเรื่องของการเล่นฟุตบอล มันคือชีวิตทั้งชีวิตของคนคนหนึ่ง ซึ่งสิ่งที่เทน ฮาก และแมนฯ ยูไนเต็ด ทำนั้นถือว่าถูกต้องที่สุดแล้ว
อย่างที่สองคือ ‘ความเชื่อ’ ไม่ใช่แค่เพียงการพูด แต่เป็นการแสดงออกให้เห็นว่า เขาเชื่อในตัวของซานโชว่าเป็นคนเก่งและสามารถจะกลับมาเป็นคนเดิมได้อย่างแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ถ้าให้พูดมันง่าย แต่ทำจริงมันไม่ง่าย โดยเฉพาะในงานระดับการคุมสโมสรยักษ์ใหญ่อย่างแมนฯ ยูไนเต็ด ที่ต้องการชัยชนะในทุกนัด
การเดิมพันความเชื่อมั่นกับใครสักคนมันคือความเสี่ยงของผู้จัดการทีมด้วยเช่นกัน แต่เทน ฮาก ไม่มีลังเลที่จะเดิมพันกับนักเตะอย่างซานโช
อย่างสุดท้ายคือ ‘โอกาส’ ที่เมื่อใดก็ตามที่ซานโชพร้อมที่จะกลับมา นายใหญ่อย่างเทน ฮาก บอกอยู่แล้วว่าพร้อมที่จะเปิดโอกาสให้เขากลับมาเสมอ ซึ่งเมื่อปีกจอมเลื้อยแสดงให้เห็นว่า เขาเริ่มพร้อมที่จะกลับมา บอสของเขาก็ทำตามคำพูดด้วยการเปิดโอกาสให้กลับมาจริงๆ
และซานโชก็ไม่ใช้โอกาสนั้นเปลือง เพราะใน 3 นัดที่ผ่านมาเขาทำได้ถึง 2 ประตู และเริ่มแสดงให้เห็นว่าเขากำลังค่อยๆ กลับมาเป็นคนเดิมอีกครั้ง
ในช่วงก่อนหน้าที่จะหายไป เขาประสบปัญหาความมั่นใจในการเล่นที่หายไป เล่นด้วยความกลัวที่จะทำพลาด จนไม่กล้าที่จะทำอะไรเลย ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับสไตล์การเล่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา แต่สิ่งที่ทุกคนได้เห็นในการกลับมาครั้งนี้ของซานโชคือ เขาเริ่มที่จะกล้าเสี่ยงมากขึ้น ต่อให้การเสี่ยงนั้นอาจจะหมายถึงการเล่นผิดพลาดก็ตาม
มากไปกว่านั้นคือ การที่เทน ฮาก กำลังช่วยเหลือเขาอีกทาง ด้วยการพยายามค้นหาตำแหน่งและบทบาทที่ดีที่สุดสำหรับซานโช
ถึงจะเป็นนักเตะที่ความสามารถสูงและพอจะพูดกับใครได้ว่า “ผมเล่นตรงไหนก็ได้ในแดนหน้า” แต่ตำแหน่งเดิมที่ดีที่สุดสำหรับในช่วงแรกคือ ปีกขวาที่เป็นตำแหน่งแจ้งเกิดในทีมดอร์ทมุนด์
เมื่อย้ายมาเล่นในพรีเมียร์ลีกเขาถูกโยกมายืนปีกซ้ายแทน และมันดูขัดเขินอยู่ในที เพียงแต่ดูเหมือนเทน ฮาก จะค้นพบคำตอบอะไรบางอย่างในเกมกับลีดส์ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นการลงเล่นในเกมลีกนัดแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคม
เกมนั้นซานโชลงสนามมาในนาทีที่ 70 และมีส่วนสำคัญในการทำประตูตีเสมอ 2-2 ได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ซึ่งเทน ฮาก มองเห็นทักษะในการเล่นบนพื้นที่แคบๆ ของเขาได้ชัดเจน และนั่นนำไปสู่การทดลองให้ซานโชลงเล่นในตำแหน่ง ‘หมายเลข 10’ ยืนหลังกองหน้าดู
เพราะความไวของซานโชไม่ใช่ความไวของฝีเท้าที่จะฉีกหนีคู่แข่งเป็นริ้วๆ ได้เหมือน มาร์คัส แรชฟอร์ด หากแต่เป็นความคิด การอ่านสถานการณ์ที่รวดเร็ว การประมวลผลในสมองของซานโชไวกว่านักฟุตบอลส่วนมาก และความสามารถในการประมวลผลการเล่นนั้นในวงการฟุตบอลรู้กันว่านี่แหละคือสิ่งที่แพงและหายากที่สุด
เพียงแต่มันยังไวเกินไปกว่าที่จะบอกว่ามันจะประสบความสำเร็จและเป็นตำแหน่งใหม่ บทใหม่ของนักฟุตบอลที่ครั้งหนึ่งเคยน่าตื่นตาตื่นใจที่สุด
ตอนนี้มันเป็นแค่จุดเริ่มต้นในการกลับมาของเขาเท่านั้น เส้นทางยังเหลืออีกยาวไกล
แต่ด้วยการปกป้องและสนับสนุนจากทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายอย่างเทน ฮาก เพื่อนร่วมทีมทุกคน ไปจนถึงแฟนบอลที่พร้อมให้กำลังใจอย่างเต็มที่
ซานโชจะกลับมาอย่างสมบูรณ์แบบไหม และจะไปได้ไกลถึงไหนกัน?
อยู่ที่เขาแล้ว 🙂
อ้างอิง:
- https://theathletic.com/4170614/2023/02/09/jadon-sancho-manchester-united-leeds/
- https://www.goal.com/en/news/when-sancho-back-man-utd-ten-hag-update/blt3720455cdb900937
- https://www.theguardian.com/football/2023/feb/08/manchester-united-leeds-united-premier-league-match-report
- https://www.skysports.com/football/news/11095/12815034/premier-league-hits-and-misses-jadon-sancho-shines-in-no-10-role-for-man-utd