จากฟุตบอลเยอรมนีที่กลับมาก่อนเพื่อนตั้งแต่เดือนที่แล้ว มาถึงฟุตบอลสเปนที่กลับมาเริ่มต้นลงแข่งต่ออีกครั้งด้วยเกมสุดมันดาร์บี้เมืองเซบียาเมื่อคืนวันพฤหัสบดีที่ 11 มิถุนายนที่ผ่านมา คืนนี้ถึงคราวของฟุตบอลอิตาลีที่จะเริ่มกลับมาทำการแข่งขันด้วยเช่นกัน
ประเดิมกันด้วยเกมโคปปา อิตาเลีย รอบรองชนะเลิศ เลกที่ 2 ในการเผชิญหน้ากันของสองยักษ์ใหญ่ต่างยุคของวงการลูกหนังแดนรองเท้าบู๊ตอย่างยูเวนตุส และเอซี มิลาน
หากใครลืมไปแล้วว่าผลงานในเกมแรกจบลงอย่างไร (ซึ่งไม่แปลกเพราะจากเกมนัดนั้นถึงนัดนี้ผ่านมาเกือบ 4 เดือนแล้ว!) เกมที่ซานซิโรเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์นั้นจบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 โดยที่ คริสเตียโน โรนัลโด ยิงประตูตีเสมอให้กับ ‘ม้าลาย’ (หรือ The Old Lday ในฉายาแบบฝรั่งเขาเรียกกัน) จากการยิงจุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
โดยจุดโทษลูกนี้ก็มีดราม่าด้วยเมื่อผู้ตัดสิน เปาโล วาเลรี ไม่ได้คิดว่าลูกกระโดดตีลังกายิงแบบ ‘Scissor Kick’ ของโรนัลโดที่ไปติดแขนของ ดาวิเด คาลาเบรีย นั้นเป็นจุดโทษในทีแรก แต่สุดท้ายหลังย้อนกลับไปดูภาพในจอก็เปลี่ยนใจที่จะให้เป็นจุดโทษ
แน่นอนว่าผู้ชม 72,738 คนในซานซิโรวันนั้นเกือบทั้งหมดไม่เห็นด้วยกับการเปลี่ยนการตัดสินใจครั้งนี้ แต่ทำอะไรไม่ได้
แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนที่สุดสำหรับการกลับมาพบกันที่สนามอลิอันซ์ สเตเดียม ของยูเวนตุสในคืนนี้ ซึ่งจะไม่มีผู้ชมในสนามแม้แต่รายเดียว
และยังมีอีกหลายเรื่องที่จะไม่เหมือนปกติเสียทีเดียว อาทิ หากเกมจบลงใน 90 นาทีโดยที่สกอร์รวมเท่ากัน จะให้ยิงจุดโทษตัดสินทันทีโดยไม่จำเป็นต้องเล่นช่วงต่อเวลาพิเศษ
โดยในวันพรุ่งนี้จะเป็นคิวของอีกคู่ระหว่างนาโปลี กับอินเตอร์ มิลาน ซึ่งฝ่ายแรกได้เปรียบอยู่จากการชนะมา 1-0 ในนัดแรก และผู้ชนะของทั้งสองคู่นี้จะไปตัดสินกันอีกทีในนัดชิงชนะเลิศที่จะจัดขึ้นในวันพุธที่ 17 มิถุนายน (วันเดียวกับที่พรีเมียร์ลีกจะกลับมาลงสนามเป็นเกมแรก)
ก่อนที่ฟุตบอลเซเรียอาจะกลับมาทำการแข่งขันอีกครั้งในวันที่ 20 มิถุนายน อาจจะล่าช้ากว่าลีกอื่น และมีโปรแกรมที่ต้องลงสนามค้างคามากถึง 12 นัด (และเกมตกค้างอีก 4 นัด) แต่อย่างน้อยการที่กลับมาแข่งฟุตบอลได้อีกครั้งก็ถือเป็นข่าวดีมากแล้วเมื่อเทียบกับสถานการณ์ช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนที่เป็นช่วงมืดมนอนธการที่สุดของชาวอิตาลี
เกมพิเศษในสถานการณ์พิเศษ
อย่างที่บอกว่าการลงสนามนัดนี้จะเป็นเกมที่มีความไม่ปกติที่เรียกกันว่าเป็นความปกติใหม่
ไม่มีผู้ชมเป็นแค่ขั้นแรก แต่ยังมีมาตรการต่างๆ มากมายที่เกิดขึ้นในสนาม ซึ่งแม้จะเห็นตัวอย่างจากทั้งเกาหลีใต้, เยอรมนี, สเปน (และลีกอื่นๆ ที่ทยอยกันกลับมาก่อนหน้า) แต่การต้องปฏิบัติจริงนั้นเป็นเรื่องที่แตกต่างไปอย่างมาก
เมาริซิโอ ซาร์รี โค้ชยูเวนตุสยอมรับว่านี่คือการผจญภัยไปในดินแดนที่พวกเขาไม่รู้จัก
“ไม่มีสตาฟฟ์คนไหนในตอนนี้ที่รู้ว่าเราเตรียมตัวกันไปถึงไหน เพราะว่าเราเพิ่งจะกลับมาจากสถานการณ์ที่ไม่ปกติ นี่เป็นสถานการณ์ที่พิเศษซึ่งไม่สามารถให้ความชัดเจนอะไรกับเราได้ เพราะว่าเราไม่ได้เล่นแม้แต่เกมนัดกระชับมิตร”
“ผมพอใจกับสิ่งที่ผมได้เห็นในระหว่างการซ้อมช่วงที่ผ่านมา แต่การตอบสนองในเกมเป็นเรื่องที่แตกต่างออกไป ผู้เล่นแต่ละคนมีประสบการณ์ในสถานการณ์นี้แตกต่างกันออกไป ตอนนี้มันถึงจุดที่จะต้องเข้าใจว่าสิ่งเดียวที่จะกระตุ้นทุกคนได้ต้องออกมาจากภายในตัวเอง”
ความหวังที่หายไปพร้อมซลาตัน
ยูเวนตุสอาจจะเป็นทีมที่ดีที่สุดของอิตาลีในทศวรรษที่ผ่านมา และนับเฉพาะโคปปา อิตาเลีย พวกเขาคว้าแชมป์ได้ 4 สมัยติดต่อกันตั้งแต่ 2015-2018 ก่อนจะโดนลาซิโอมาคั่นกลางเมื่อฤดูกาลที่แล้ว
แต่สำหรับมิลาน พวกเขาเองก็เป็นมหาอำนาจเก่า เป็นเจ้าของสคูเด็ตโต 18 สมัย และโคปปา อิตาเลียอีก 5 สมัย ที่สำคัญแชมป์ครั้งสุดท้ายของพวกเขาต้องย้อนไปไกลถึง 9 ปีที่แล้ว
เมื่อมองถึงสถานการณ์ในลีกที่อยู่อันดับ 7 ตามหลังยูเวไกลถึง 27 แต้ม ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องเน้นรายการนี้ให้ดีที่สุด
เพียงแต่น่าเสียดายที่ในเกมสำคัญนี้กลับไร้เงาของซลาตัน อิบราฮิโมวิช ดาวยิงซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของทีมที่แม้จะวัย 38 ปี และย้ายมาเล่นในสัญญาเพียง 6 เดือน แต่ก็ทำได้ถึง 4 ประตูจากการลงสนาม 10 นัด ซึ่งอาการบาดเจ็บที่น่องของ ‘ซลาตัน’ เกิดขึ้นระหว่างการซ้อมในเดือนที่แล้ว
ความหวังจึงย้ายมาอยู่ที่ อันเต เรบิช ที่ทำไป 7 ประตูจาก 9 นัดก่อนโควิด-19 จะหยุดทุกอย่างบนโลก
แต่เมื่อคิดถึงขุมกำลังของคู่แข่งอย่างยูเว ที่นำมาโดยนักเตะอย่างโรนัลโด, เปาโล ดีบาลา (ซึ่งหายขาดจากโควิด-19 แล้ว) รวมถึงดักลาส คอสตา และอีกมากมายแล้ว
โอกาสของมิลานอาจจะอยู่ที่ความไม่พร้อมของยูเวในการเตรียมตัวช่วงที่ผ่านมาสถานเดียว และพวกเขาต้องเล่นได้ดีที่สุดด้วย
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: