อิสราเอลประกาศในวันศุกร์ที่ผ่านมา (17 พฤศจิกายน) ว่าจะอนุญาตให้รถบรรทุกขนส่งเชื้อเพลิงในปริมาณ ‘น้อยมาก’ เข้าสู่ฉนวนกาซาได้ เพื่อให้สหประชาชาติใช้ในการปฏิบัติภารกิจ รวมถึงใช้กับระบบการสื่อสาร ในขณะที่บรรดาองค์กรสิทธิมนุษยชนเตือนเกี่ยวกับความอดอยากและโรคภัยไข้เจ็บที่อาจเกิดขึ้นในวงกว้าง อันเนื่องมาจากขาดเชื้อเพลิง อาหารและน้ำ
อิสราเอลระบุว่าจะอนุญาตให้รถบรรทุกขนส่งเชื้อเพลิงได้สองคันรถต่อวันตามคำขอของวอชิงตัน เพื่อช่วยให้สหประชาชาติตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐาน พร้อมให้คำมั่นว่าจะเพิ่มความช่วยเหลือตามที่องค์การสหประชาชาติร้องขอ
“เราจะเพิ่มปริมาณความจุของรถบรรทุกและขบวนรถเพื่อมนุษยธรรมตราบเท่าที่มีความจำเป็น” พันเอก เอลัด โกเรน จาก COGAT หน่วยงานกระทรวงกลาโหมที่ประสานงานในเรื่องที่เกี่ยวกับการบริหารกับชาวปาเลสไตน์ กล่าวในการบรรยายสรุป
ถ้อยแถลงดังกล่าวส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงของอิสราเอลที่ดูเหมือนจะยอมอ่อนข้อท่ามกลางการกดดันจากนานาชาติ หลังจากหน่วยงานของสหประชาชาติเตือนว่าสภาพด้านมนุษยธรรมในฉนวนกาซากำลังถดถอยลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงคำเตือนจากโครงการอาหารโลกถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดความอดอยากขึ้นโดยฉับพลัน
ด้านทำเนียบขาวโพสต์ข้อความบน X ว่าการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงควร ‘ดำเนินต่อไปอย่างสม่ำเสมอและในปริมาณที่มากขึ้น’
ขณะเดียวกัน กองกำลังป้องกันอิสราเอล (IDF) ได้บุกเข้าตรวจค้นศูนย์การแพทย์อัลชิฟา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในฉนวนกาซา และถูกต้องสงสัยว่ากลุ่มฮามาสใช้เป็นฐานปฏิบัติการ
IDF เปิดเผยว่า ทางกองทัพค้นพบอุโมงค์ในโรงพยาบาลอัลชิฟา ซึ่งอิสราเอลเชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายที่กว้างขวางและครอบคลุมพื้นที่ใต้ดินใต้ฉนวนกาซา นอกจากนี้กองกำลังยังพบยานพาหนะที่มีอาวุธจำนวนมาก รวมถึงพบสิ่งที่เรียกว่าปล่องอุโมงค์ของกลุ่มฮามาส
กองทัพอิสราเอลได้เผยแพร่วิดีโอที่ทางกองทัพระบุว่าเป็นทางเข้าอุโมงค์ซึ่งอยู่บริเวณนอกอาคารของโรงพยาบาล ภาพจากวิดีโอแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวถูกขุดขึ้นมา และมีรถแทรกเตอร์เกลี่ยดินปรากฏอยู่ทางด้านหลัง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มฮามาสปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าทางกลุ่มใช้โรงพยาบาลแห่งนี้เพื่อจุดประสงค์ทางทหาร โดยอธิบายว่าคำกล่าวอ้างของอิสราเอลเป็นเพียง ‘คำโกหกและการโฆษณาชวนเชื่อราคาถูก’
สถานที่ดังกล่าวเป็นเป้าหมายหลักของการโจมตีภาคพื้นดินของอิสราเอล และเป็นจุดสนใจของความตื่นตระหนกจากนานาชาติเกี่ยวกับวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
ล่าสุดอิสราเอลได้ออกคำเตือนครั้งใหม่ให้ชาวปาเลสไตน์อพยพออกจากเมืองข่านยูนิสทางตอนใต้ โดยได้โปรยใบปลิวเหนือเมืองเพื่อเตือนให้ผู้คนหนีออกจากแนวยิง และอพยพไปยังศูนย์พักพิงและเข้าใกล้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทางพื้นที่ฝั่งตะวันตกมากขึ้น ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณล่าสุดว่าอิสราเอลวางแผนที่จะโจมตีกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาทางตอนใต้ หลังจากรุกปราบทางตอนเหนือไปก่อนหน้านี้
“เรากำลังขอให้ประชาชนย้ายที่อยู่ ผมรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับพวกเขาหลายคน แต่เราไม่ต้องการเห็นพลเรือนติดอยู่ท่ามกลางการต่อสู้” มาร์ก เรเจฟ ผู้ช่วยนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล กล่าวกับ MSNBC เมื่อวันศุกร์
เรเจฟกล่าวว่า ทหารอิสราเอลจะต้องบุกเข้าไปในเมืองเพื่อขับไล่นักรบฮามาสออกจากอุโมงค์ใต้ดินและบังเกอร์
“ผมค่อนข้างมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่ต้องย้ายออกไปอีก” หากพวกเขาอพยพไปทางตะวันตก เรเจฟกล่าว “เรากำลังขอให้พวกเขาย้ายไปยังพื้นที่ซึ่งหวังว่าจะมีเต็นท์และโรงพยาบาลสนาม”
โดยเรเจฟระบุว่า เนื่องจากพื้นที่ทางตะวันตกอยู่ใกล้กับชายแดนราฟาห์ซึ่งติดกับอียิปต์ ประชาชนจึงน่าจะได้รับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมโดยเร็ว
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจบีบให้ชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนที่ก่อนหน้านี้อพยพจากทางตอนเหนือของกาซาลงไปทางใต้ตามคำเตือนของของอิสราเอลต้องย้ายที่อยู่ใหม่อีกครั้ง พร้อมกับชาวเมืองและผู้ที่อยู่อาศัยในข่านยูนิสกว่า 400,000 คน ซึ่งจะทำให้เกิดวิกฤตด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายยิ่งขึ้น
ด้าน อาบู อูไบดา โฆษกของกลุ่มฮามาส กล่าวในแถลงการณ์ผ่านวิดีโอว่า “เราได้เตรียมพร้อมสำหรับการป้องกันระยะยาวและยั่งยืนจากทุกทิศทาง ยิ่งกองกำลังยึดครองอยู่ในฉนวนกาซานานเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งสูญเสียอย่างต่อเนื่องมากขึ้นเท่านั้น”
เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในฉนวนกาซาเปิดเผยว่า ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดเมื่อวันศุกร์เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 12,000 คน ซึ่ง 5,000 คนในจำนวนนี้เป็นเด็ก ด้านสหประชาชาติระบุว่าตัวเลขเหล่านี้น่าเชื่อถือ แม้ว่าปัจจุบันจะมีการอัปเดตไม่บ่อยนักเนื่องจากความยากลำบากในการรวบรวมข้อมูล
สงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสเข้าสู่สัปดาห์ที่ 7 แล้ว และยังไม่มีวี่แววว่าจะยุติลง แม้ว่านานาชาติเรียกร้องให้หยุดยิง หรืออย่างน้อยก็หยุดยิงชั่วคราวตามหลักมนุษยธรรมก็ตาม
ภาพ: / Getty Images
อ้างอิง: