นับเป็นช่วงเวลาที่ทำให้แฟนบอลชาวไทยกลับมามีศรัทธาและความหวังต่อเกมฟุตบอลอีกครั้ง สำหรับทีมชาติไทยในมือของ มาซาทาดะ อิชิอิ กุนซือชาวญี่ปุ่น ที่เข้ามาใช้เวลาไม่ถึง 1 ปี คืนชีพทัพช้างศึกให้กลายเป็นทีมที่มีแนวโน้มการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีอีกครั้ง
ถึงจะออกสตาร์ทเกมแรกด้วยการบุกไปถูกญี่ปุ่นถล่ม 0-5 ในวันปีใหม่เมื่อต้นปีที่ผ่านมา แต่ผลงานของ ‘เซนเซอิชิอิ’ กับทีมชาตินับจากนั้นจัดว่าพัฒนาขึ้นอย่างมีนัยพอสมควร
ทัพช้างศึกในมือของอิชิอิลุยแข่งรายการเอเชียนคัพ 2024 พร้อมเซอร์ไพรส์ให้กับหลายๆ ทีมในกลุ่มเดียวกันด้วยการผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์แบบคลีนชีตทั้ง 3 เกม และไม่แพ้ให้ทีมใดเลย
แม้หลังจากนั้นทีมจะยุติเส้นทางฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือกที่รอบสองอย่างน่าเสียดาย แต่ผลงานภาพรวมตลอดรายการ รวมถึงเกมอุ่นเครื่องที่เล่นมาจนถึงปัจจุบัน 12 เกม ทีมไทยถือเป็นทีมที่มีฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้นเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับผลงานเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว
อีกหนึ่งสิ่งที่นับเป็นสัญญาณดีคือผลงานพบกับทีมจากอาเซียน ผลปรากฏว่าทีมไทยไม่แพ้เลยตลอด 3 นัด
- ◾ ชนะสิงคโปร์ 3-1
- ◾ ชนะเวียดนาม 2-1
- ◾ ชนะฟิลิปปินส์ 3-1
ผลงานล่าสุดอิชิอิพาทีมไทยคว้าแชมป์คิงส์คัพได้ในรอบ 7 ปี และนับเป็นแชมป์สมัยที่ 16 ของทีมไทย รวมถึงยังเป็นการล้างอาถรรพ์ชูถ้วยแชมป์คิงส์คัพที่ต่างจังหวัดได้เป็นครั้งแรก
นอกจากนั้นยังนับเป็นถ้วยแชมป์แรกของอิชิอิกับทีมชาติไทยอีกด้วย
เรื่องของ FIFA Ranking ก็เป็นอีกสิ่งที่ทำให้แฟนบอลชาวไทยมีความสุขไม่น้อยไปกว่าการพาทีมชาติไทยขยับจากอันดับ 113 ของโลก (ข้อมูลเดือนธันวาคม 2023) มาสู่อันดับ 100 ในปัจจุบัน และจากผลงานชนะ 2 นัดล่าสุด มีโอกาสสูงที่ทีมไทยจะมีอันดับโลกขยับมาที่เลข 2 หลัก (ตามคะแนนเรียลไทม์อาจขึ้นมาถึงอันดับ 96 ซึ่งยังต้องรอยืนยันอีกครั้ง)
อิชิอิคือโค้ชที่เฝ้าติดตามฟอร์มของนักเตะไทยแบบต่อเนื่อง และเมื่อมีโปรแกรมอุ่นเครื่องสำคัญๆ อิชิอิจะไม่พลาดเรียกนักเตะหน้าใหม่เข้ามาทดสอบฝีเท้ากันในแคมป์ทีมชาติไทยอยู่เสมอ นั่นจึงทำให้ในรอบ 1-2 เดือนที่ผ่านมา ทีมไทยมักจะได้ลงเล่นเกมอุ่นเครื่องกับทีมที่เต็มไปด้วยนักเตะหลักและหน้าใหม่คละอยู่ในทีมด้วยเสมอ
ตลอดการคุมทีม 12 เกมที่ผ่านมาของอิชิอิ เขาต้องพาทีมดวลกับทีมที่มี FIFA Ranking สูงกว่าถึง 9 ทีม
แต่ถึงอย่างนั้นทีมไทยยุคใหม่สามารถเค้นฟอร์มที่ผ่านการฝึกซ้อมในระบบของกุนซือชาวญี่ปุ่นมาปรับใช้เพื่อลงแข่งบนสนามได้ดีอยู่เสมอ ซึ่งตลอด 9 เกมกับทีมที่แข็งกว่า ทัพช้างศึกทำผลงานชนะ 2 เสมอ 4 แพ้ 3 เกม โดยเกมที่เป็นไฮไลต์คือการเสมอกับทีมอย่างเกาหลีใต้และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งถือเป็นทีมแนวหน้าของเอเชีย