×

จบจากมหาวิทยาลัยไม่เด่น ไม่ดัง จะหางานดีๆ ทำได้ไหมคะ

23.05.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

3 Mins. Read
  • แทนที่จะตั้งคำถามว่า “จะมีใครรับหนูทำงานไหม” ลองคิดอีกมุมว่า “เขามองหาคนทำงานแบบไหน” และ “ทำไมเขาต้องรับหนู”
  • “เขามองหาคนทำงานแบบไหน” สามารถดูได้จาก Job Description ลองดูว่าองค์กรนั้นเป็นองค์กรแบบไหน เขาเชื่อมั่นในอะไร ได้รับการยกย่องในแง่ไหน เขาเป็นที่พูดถึงอย่างไรในแวดวง ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้หาได้จากเว็บไซต์ หนังสือพิมพ์ บทสัมภาษณ์ แม้กระทั่งดูจากผลงานที่ผ่านมาของเขา หรือถ้าจะให้ดีลองไปใช้บริการของเขาดู
  • “ทำไมเขาต้องรับเรา” เราต้องรู้จุดแข็งของตัวเอง แล้วเอาจุดแข็งของตัวเองมาแมตช์กับสิ่งที่องค์กรต้องการ ส่วนจุดด้อยหรือจุดที่องค์กรอาจจะตั้งคำถามในตัวเรา เราก็ต้องเอาจุดแข็งของตัวเองมาชดเชยให้ได้

Q: หนูกำลังจะเรียนจบแล้วค่ะ แต่หนูเครียดมากว่าจะมีที่ไหนรับหนูเข้าทำงานไหม เพราะหนูไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยดังๆ เกรดหนูก็ไม่ได้ดีอะไร หนูจะหางานทำได้ไหมคะพี่ หนูกลัวไม่มีงานมากเลยค่ะ

 

A: ยินดีก่อนเลย น้องกำลังจะเรียนจบแล้ว เอาว่าคนเราเรียนจบได้ก็เหมือนผ่านไปได้อีกหนึ่งด่านโหด แต่หลังจากเรียนจบนี่สิที่โหดกว่า ทุกคนที่กำลังจะเรียนจบก็เคยผ่านความรู้สึกกังวลแบบนี้เช่นกันที่จะต้องออกไปเผชิญโลกการทำงาน พี่ก็เป็นเหมือนกัน ไม่มีใครไม่กังวลหรอกเวลาเจอกับการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นสิ่งที่น้องรู้สึกอยู่ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ

 

พี่คิดว่าแทนที่น้องจะตั้งคำถามว่า “จะมีใครรับหนูทำงานไหม” ลองคิดอีกมุมว่า “เขามองหาคนทำงานแบบไหน” และ “ทำไมเขาต้องรับหนู” ดีไหมครับ

 

เขามองหาคนทำงานแบบไหน สามารถดูได้คร่าวๆ จาก Job Description ที่เขาประกาศไว้ หรือลองไปดูว่าองค์กรนั้นเป็นองค์กรแบบไหน เขาเชื่อมั่นในอะไร เขาได้รับการยกย่องในแง่ไหน เขาเป็นที่พูดถึงอย่างไรในแวดวง ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้หาได้จากเว็บไซต์ หนังสือพิมพ์ บทสัมภาษณ์ แม้กระทั่งดูจากผลงานที่ผ่านมาของเขา หรือถ้าจะให้ดีลองไปใช้บริการของเขาดู (ยังไม่ต้องซื้อก็ได้นะ ฮ่าๆ) เพื่อที่เราจะได้สัมผัสก่อนว่าคนในองค์กรเป็นคนแบบไหน

 

ทีนี้พอรู้แล้วว่าเขามองหาคนแบบไหน กลับมาดูว่าเราเป็นคนแบบนั้นหรือเปล่า ถ้าเราเป็นคนแบบนั้น แน่นอนว่าก็น่าจะมีโอกาสที่เขาจะรับเรา

 

พอกลับมาดูตัวเองแล้ว ต้องคิดแล้วว่าเราจะนำเสนอตัวตนอย่างไรให้เขาเห็นว่าเรากับเขาแมตช์กัน เราคือคนแบบที่องค์กรต้องการ นั่นแหละครับคือคำถามว่า “ทำไมเขาต้องรับเรา”

 

“ทำไมเขาต้องรับเรา” เป็นเรื่องของการทำให้เขาเห็นว่าเราคือคนที่ใช่ เราตอบโจทย์ตาม Job Description ที่องค์กรนั้นบอกไว้หรือเปล่า เราต้องรู้จุดแข็งของตัวเอง แล้วเอาจุดแข็งของตัวเองมาแมตช์กับสิ่งที่องค์กรต้องการ เช่นเดียวกัน ในส่วนที่เป็นจุดด้อยหรือจุดที่องค์กรอาจจะตั้งคำถามในตัวเรา เราก็ต้องเอาจุดแข็งของตัวเองมาชดเชยให้ได้ เราต้องเชื่อก่อนว่าทุกคนพัฒนาตัวเองได้ หาจุดแข็งของเราให้เจอ

 

แต่พี่บอกไว้ก่อนว่า โลกนี้มีความหลากหลาย มันมีทั้งคนที่ตัดสินเราจากมหาวิทยาลัยที่เราจบมา ตัดสินเราจากเกรด ตัดสินเราจากรูปลักษณ์ภายนอก ฯลฯ คนบนโลกไม่ได้ใจกว้างหรือมีเมตตากันทุกคน เราต้องยอมรับ แต่เราจะหยุดชีวิตเพียงเพราะบางคนปิดประตูใส่เราไม่ได้ ประตูบานนี้ปิด เราก็ไปประตูบานอื่น เราบังคับให้เขาเปิดประตูให้เราไม่ได้ แต่เราพาตัวเองเดินไปหาประตูบานอื่นๆ ได้

 

คนอื่นจะตัดสินเราอย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือเราตัดสินตัวเองว่าอย่างนั้นด้วยไหม ถ้ามีคนตัดสินว่าเราเรียนมหาวิทยาลัยนั้นนี้แปลว่าเราต้องไม่เก่งแน่เลย แล้วตัวเราล่ะ เอาความคิดแบบนั้นมาตัดสินตัวเราเองด้วยไหม เพราะถ้าเราเอาความคิดนี้มาขังตัวเราไว้ เราก็จะมองตัวเองว่าเราก็ทำได้แค่นี้แหละ ผลเสียก็จะตกที่ตัวเราเองนะครับ เราจะไม่ยอมพัฒนาตัวเองหรือคิดว่าเราดีกว่าที่คนอื่นตัดสิน

 

น้องเอ๋ย ในชีวิตน้องจะต้องเจอการถูกปฏิเสธอีกมาก ทุกคนเคยโดนปฏิเสธกันหมด เคยโดนตัดสินกันหมด แต่มันก็ทำให้เราได้เข้าใจความเป็นไปของโลก และทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ถ้าไม่ถูกปฏิเสธมาก่อน เราจะเห็นคุณค่าของการที่ใครสักคนให้โอกาสเราไหมล่ะ

 

จบจากไหน ได้เกรดอะไรมาก็เรื่องหนึ่ง พี่เคยเห็นทั้งเด็กที่จบจากมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศ แต่น้องหยิบโหย่ง กลวง หยิ่งผยองทะนงตนว่าตัวเองแน่ที่สุดในโลกจนอีโก้คับกะลา เคยได้เห็นทั้งเด็กที่มาจากมหาวิทยาลัยที่ไม่ได้โด่งดังอะไรมากมาย แต่เด็กสู้งานจังเลย พี่คิดว่าความเก่งเราฝึกกันได้ อย่างไรก็ต้องฝึก แต่เริ่มต้นมันต้องมีความรักดีก่อน ความรักดีนี่สำคัญมากนะครับน้อง มันคือจุดตั้งต้นว่าเราจะโตไปได้ดีหรือไม่ดีก็มาจากตรงนี้เอง ถ้าเรารักดี เราก็ใจสู้ อยากเรียนรู้เพิ่มเติม เราก็มีแต่จะเก่งขึ้น เป็นที่รักมากขึ้น แต่ถ้าเราไม่รักดี เก่งแค่ไหนก็ไปได้ไม่ไกล ไม่เก่งอยู่แล้วก็ยิ่งถดถอย พูดในฐานะพี่ที่ทำงานมานานกว่า เวลาเจอเด็กที่ใจมันสู้ ผู้ใหญ่ก็ผลักดันกันสุดฤทธิ์นะ

 

จากประสบการณ์แล้ว เรซูเม่ที่ดียังไม่เท่าเวลาสัมภาษณ์ สัมภาษณ์ดียังไม่เท่าได้เห็นเขาทดลองทำงานให้ดู สมมติเรารู้อยู่แล้วว่าเราจบเกรดกลางๆ เรียนไม่ได้โดดเด่นอะไร แล้วเรามีอะไรเด่นบ้าง มีอะไรในตัวมาชดเชยเกรดที่น้องกลัวนักหนาบ้างหรือเปล่า ถ้ามีเรื่องอื่นที่เจ๋งกว่า ไม่มีใครมามองเกรดน้องหรอกครับ เอาตัวอย่างผลงานที่น้องทำตอนเรียนให้เขาดูดีไหม หรือไม่ก็สร้างมันขึ้นมาใหม่เลย ทำให้สุดฝีมือเลยนะ ผลงานนี่แหละสำคัญกว่าเกรดของน้อง

 

เอาให้คนสัมภาษณ์รู้สึกว่า “น้องคนนี้นี่มันแน่จริงๆ” ไปเลย!

 

* ส่งคำถามดราม่าในที่ทำงานที่คุณสงสัยมาได้ที่อีเมล [email protected] หรืออินบ็อกซ์ไปที่ FB: ท้อฟฟี่ แบรดชอว์ 

 

ภาพประกอบ: Nisakorn Rittapai

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising