กระแสตอบรับของ iPhone 17 เหนือความคาดหมาย ที่วอลล์สตรีทเคยประเมินไว้ เพราะหากย้อนไปในปีงบประมาณ 2023 ยอดขายสมาร์ตโฟนของ Apple ลดลง 2% และปีถัดมาแทบไม่เติบโต เนื่องจากในช่วงโควิดผู้บริโภคส่วนใหญ่ใช้จ่ายไปกับกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ไปค่อนข้างสูง
แต่การปรับโฉมดีไซน์ครั้งใหญ่ของ iPhone 17 ที่มาพร้อมการอัปเกรดของกล้อง หน้าจอ และแบตเตอรี่ใหม่ ทำให้หลังจาก Apple เปิดตัว iPhone 17 เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา สมาร์ตโฟนเรือธงรุ่นนี้ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลาม
นักวิเคราะห์คาดว่า รายได้จากธุรกิจสมาร์ตโฟนของ Apple จะกลับมาเติบโต 4% หรือแตะที่ 2 แสนล้านดอลลาร์ ในปีงบประมาณล่าสุด เนื่องจากกระแสการตอบรับในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนฤดูกาลขายปลายปีค่อนข้างดี แม้ว่าบริษัทจะอยู่ท่ามกลางแรงกดดันจากการเลื่อนเปิดตัวฟีเจอร์ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯก็ตาม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- รีวิว iPhone 17 ความธรรมดาที่ไม่ธรรมดาและคุ้มค่าที่สุด
- สรุปงาน Apple Event เปิดตัว iPhone Air บางสุดเท่าที่เคยมีมา
- รีวิว iPhone Air สวยจริง บางจริง แต่ความคุ้มค่าอาจเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ขณะที่ รายงานของนักวิเคราะห์จาก Bank of America ระบุว่า การจัดส่งของ iPhone 17 ใช้เวลานานกว่ารุ่นก่อน ราว 13% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งบ่งชี้ถึงอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง และเมื่อเวลารอจัดส่งยาวขึ้น ยิ่งแสดงให้เห็นว่า iPhone 17 เป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมมากกว่าปกติ สอดรับกับรายงานของ Apple ชี้ว่ายอดการสั่งผลิต iPhone 17 เพิ่มขึ้นมาก เมื่อเทียบกับการเปิดตัว iPhone 16 เมื่อปีที่แล้ว
ด้าน Visible Alpha เปิดเผยว่า หากดูตามจำนวนเครื่องที่ขาย ยอดขาย iPhone ยังคงทรงตัว โดยระหว่างปีงบประมาณ 2024 – 2026 ยอดขายต่อปี คาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 235 ล้านเครื่อง แต่ภายในปี 2027 นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า iPhone จะกลับมาทำยอดขายได้เกิน 240 ล้านเครื่อง หลังจากมีข่าวลือว่า Apple อาจเปิดตัว iPhone รุ่นพับได้ ภายในปีหน้า
อย่างไรก็ตาม Apple เตรียมจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปีงบประมาณ สิ้นสุดเดือนกันยายน ในวันที่ 30 ตุลาคมนี้ แต่นโยบายใหม่ของ Apple จะไม่เปิดเผยจำนวนเครื่องที่ขายอีกต่อไป แต่จะเน้นเปิดเผยตัวเลขรายได้จากการขายแทน
ทั้งนี้ iPhone ยังคงเป็นสินค้าหลัก ทำรายได้มากกว่า 50% หรือรวมๆอยู่ที่ 3.9 แสนล้านดอลลาร์ต่อปี และการที่ iPhone 17 ได้รับความนิยม ก็อาจช่วยภาพรวมในปี 2025 ฟื้นตัว หลังจากค่อนข้างท้าทายจากภาวะตึงเครียดทางการค้าซึ่งกระทบห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
ส่วนราคาหุ้น Apple เคยพุ่งทำจุดสูงสุดใหม่ของปีในเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับช่วงเปิดตัว iPhone 17 ก่อนจะปรับตัวลงตามตลาด หลังทรัมป์ขู่จะเก็บภาษีนำเข้าจากจีนถึง 100% และแม้จะมีข่าวลือว่า Apple อาจต้องเผชิญต้นทุนเพิ่มขึ้นจากภาษี แต่บริษัทก็ยังคงตรึงราคา iPhone รุ่นใหม่ไม่ให้สูงขึ้น
ภาพ: VCG /Getty Images
อ้างอิง: