×

ลงทุน ESG เรื่องราวดีๆ ส่งท้ายปี 2566

13.12.2023
  • LOADING...
ลงทุน ESG

นับเป็นเรื่องราวดีๆ ส่งท้ายพุทธศักราช 2566 ที่ทางการนำการลงทุนที่ให้ความสำคัญกับประเด็นสิ่งแวดล้อม (Environment: E) สังคม (Social: S) และธรรมาภิบาล (Governance: G) เรียกรวมๆ ว่า ESG มาสู่นักลงทุนรายย่อย ด้วยการโปรโมตดังๆ ผ่านการให้สิทธิลดหย่อนภาษีเมื่อบุคคลธรรมดาที่มีรายได้พึงประเมินต้องเสียภาษี ลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) 

 

ต้องบอกก่อนครับว่า เรื่อง ESG อยู่ในตลาดโลกมานานหลายสิบปีแล้ว โดย ESG ถือเป็นเหตุที่ทำให้เกิดผลคือ Sustainability หรือความยั่งยืนต่อไป ซึ่งผู้ที่ทำให้เกิดความยั่งยืนได้ก็คือ ภาคเอกชน ภาคการเงิน ภาครัฐ รวมถึงทุกๆ คนบนโลกใบนี้ 

 

ในอดีตที่ผ่านมา องค์การสหประชาชาติ (UN) ก็มีการทำเรื่องการลงทุนไว้ผ่านการตั้งเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน Sustainable Development Goals (SDGs) 17 ข้อ เพื่อมุ่งหวังให้เกิดความยั่งยืนบนโลก ซึ่งก็ทำให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนเดินหน้าตามแนวทางนี้ มีเงินลงทุนในกิจการที่เกี่ยวข้องกับประเด็น ESG เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจุบันการลงทุนประเด็น ESG ทั่วโลก ทั้งที่อยู่ในหุ้นและสินทรัพย์ประเภทอื่นมีรวมกันกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ 

 

ขณะที่บริษัทจัดทำดัชนีชั้นนำต่างๆ ของโลกก็มีการทำดัชนี ESG รวบรวมหุ้นและตราสารหนี้ที่มี ESG ไว้ในดัชนี โดย MSCI ออกดัชนี ESG ทั้งที่เป็นดัชนีหุ้นและตราสารหนี้ ซึ่งจากข้อมูลผลการดำเนินงานและความผันผวนที่เรานำไปเปรียบเทียบกับดัชนีหุ้นและตราสารหนี้ทั่วไป พบว่า ดัชนี ESG จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า มีความผันผวนน้อยกว่า และผลตอบแทนติดลบสูงสุดในแต่ละช่วงเวลาก็น้อยกว่าเช่นกัน 

 

เมื่อดูที่ประเทศไทย เกี่ยวกับความตื่นตัวของภาคการลงทุนบนประเด็น ESG พบว่า บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ต่างๆ ในไทย ก่อนหน้านี้มีการออกกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน หรือ Sustainable and Responsible Investing Fund: SRI) ส่วนภาคธนาคารก็มีการให้สินเชื่ออย่างมีความรับผิดชอบบนประเด็น ESG ขณะที่ภาคเอกชน องค์กรอิสระต่างๆ ก็มีการดำเนินการที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR) การดำเนินธุรกิจโดยมีเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการนำไปสู่ความยั่งยืนทั้งสิ้น 

 

ในส่วนของภาครัฐก็มีการสนับสนุนการลงทุนที่คำนึงถึงประเด็น ESG โดยเริ่มจากการส่งเสริมการลงทุนในบริษัทที่มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Corporate Governance: CG) ตามด้วยการส่งเสริมพัฒนาด้าน E และ S โดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ออกหลักธรรมาภิบาลการลงทุนสำหรับผู้ลงทุนสถาบัน (I Code) ซึ่งเน้นให้ผู้ลงทุนสถาบันตระหนักบนประเด็น ESG ระดับสูงขึ้น มีการส่งเสริมการออกกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน หรือ Sustainable and Responsible Investing fund: SRI) การออกตราสารหนี้ ESG ได้แก่ ตราสารหนี้ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม (Green Bond) ตราสารหนี้เพื่อพัฒนาสังคม (Social Bond) และตราสารหนี้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) 

 

ส่วนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้จัดทำการประเมินกลุ่มหุ้นยั่งยืน (Thailand Sustainability Investment: THSI) ซึ่งในปี 2566 ได้ปรับรูปแบบการประเมินโดยให้เรตติ้งเป็นปีแรก พร้อมเปลี่ยนชื่อเป็น SET ESG Rating โดยปีนี้มีบริษัทที่ผ่านการประเมินหุ้นยั่งยืน 193 บริษัท ขณะที่เรตติ้งเป็น 4 ระดับคือ ระดับ AAA 90-100 คะแนน มีบริษัทในกลุ่มนี้ 34 แห่ง ระดับ AA 80-89 คะแนน มีบริษัทในกลุ่มนี้ 70 แห่ง ระดับ A 65-79 คะแนน มีบริษัทในกลุ่มนี้ 64 แห่ง และระดับ BBB 50-64 คะแนน มีบริษัทในกลุ่มนี้ 25 แห่ง ซึ่งมูลค่าตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) ของบริษัทเหล่านี้รวมกันอยู่ที่ประมาณ 13 ล้านล้านบาท คิดเป็น 72% ของมาร์เก็ตแคปตลาดรวม โดยที่กลุ่มเอสซีบี เอกซ์ จำกัด(มหาชน) หรือ SCBX อยู่ในกลุ่มรายชื่อหุ้นยั่งยืนที่ได้ SET ESG Rating จาก ตลท. ในระดับ AA ด้วย 

 

นอกจากนี้ยังมีการคัดกรองบริษัทที่ผ่านเกณฑ์มาจัดทำเป็นดัชนี โดยเดิมใช้ชื่อว่า SETTHSI ในปี 2566 ได้เปลี่ยนชื่อเป็น SET ESG ด้วย ซึ่งเมื่อลองพิจารณาผลตอบแทนของ SETESG เทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ก็พบว่า ผลตอบแทนใกล้เคียงกันมาก เพียงแต่ SETESG จะให้ผลตอบแทนชนะ SET Index เล็กน้อย และผลการดำเนินงานในช่วง 1 ปี แม้จะติดลบเช่นเดียวกัน แต่ก็ถือว่าติดลบในระดับที่น้อยกว่า ซึ่งก็หมายความว่า หากลงทุนใน SETESG ก็มีโอกาสที่จะทำผลตอบแทนชนะตลาดได้เล็กน้อย  

 

ขณะที่การออกมาตรการลดหย่อนภาษีจากการลงทุนในกองทุน Thai ESG ล่าสุดก็ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของฝั่งภาครัฐ ในการออกแรงกระตุ้นเรื่อง ESG ทำให้ภาคการลงทุนได้มีการลงทุนที่คำนึงถึงประเด็น ESG เข้มข้นขึ้น โดย บลจ.ต่างๆ ก็ได้ทยอยเสนอขาย กองทุน Thai ESG กันแล้วตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา มีทั้งกองทุนที่ลงทุนในหุ้นไทยที่มี ESG และที่ลงทุนในตราสารหนี้ ESG ด้วย ซึ่งก็จะทำให้นักลงทุนรายย่อยได้มีส่วนร่วมลงทุนโดยให้ความสำคัญกับประเด็น ESG เพิ่มขึ้น 

 

นอกจากนี้ เรามองว่าสิ่งที่จะเกิดตามมาหลังจากนี้คือ เราจะได้เห็นความตื่นตัวของบริษัทจดทะเบียนในการเพิ่มความเข้มข้นในการใส่ใจประเด็น ESG ในการดำเนินงาน พร้อมเข้าร่วมประเมินหุ้นยั่งยืนเพิ่มขึ้น รวมทั้งจะมีการออกตราสารหนี้ที่เกี่ยวข้องกับประเด็น ESG มากขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต

 

ในส่วนของกองทุน Thai ESG ที่เสนอขายกันอยู่ในเวลานี้ เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อเพื่อรับสิทธิลดหย่อนภาษีได้ทันก่อนหมดปี 2566 นั้น ผู้ลงทุนมีสิทธิซื้อได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท หรือสูงสุดไม่เกิน 30% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี ซึ่งเราได้เห็น บลจ.ต่างๆ พร้อมใจกันโปรโมตกองทุนนี้พอสมควร จึงเชื่อว่าภายในสิ้นปีนี้ก็น่าจะขายกองทุน Thai ESG ได้รวมทั้งระบบประมาณ 9,000-10,000 ล้านบาท  

 

สำหรับใครที่มีรายได้ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว และกำลังสนใจลงทุนกองทุนรวมลดหย่อนภาษีอยู่ เราก็มองว่า Thai ESG เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ดีที่มาพร้อมสิทธิลดหย่อนภาษีเพิ่มเติม นอกเหนือจากส่วนของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่อยู่ในกลุ่มสิทธิลดหย่อนจากการลงทุนเพื่อการเกษียณไปแล้ว

 

ทั้งนี้ ผมมองว่าใครที่สนใจลงทุนโดยคำนึงถึงประเด็น ESG และได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีไปด้วย หากลงทุนได้ต่อเนื่องทุกปี และต้องการลงทุนเพื่อเก็บเงินไว้ใช้ยามเกษียณ ก็มีกองทุน RMF ที่ลงทุนในหลักทรัพย์ที่มี ESG ทั้งในและต่างประเทศให้เลือก แต่ถ้าไม่ได้ต้องการลงทุนต่อเนื่อง แต่เลือกลงทุนในบางปีก็สามารถเลือกกองทุน SSF และ Thai ESG ได้ ตามสัดส่วนที่สามารถลงทุนได้ โดยกรณี SSF ก็สามารถเลือกลงทุนในต่างประเทศได้ ส่วน Thai ESG เป็นการลงทุนในหลักทรัพย์ไทยที่มี ESG อย่างเดียว  

 

สำหรับกองทุน Thai ESG ที่ธนาคารไทยพาณิชย์เป็นผู้สนับสนุนการขายอยู่เป็นของ บลจ.ไทยพาณิชย์ มีด้วยกัน 3 กองทุน คือ

1. SCBTM กองทุนผสมที่ลงทุนได้ทั้งตราสารหนี้และหุ้น ESG
2. SCBTA กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนเชิงรุกเน้นเอาชนะดัชนี SETESG
3. SCBTP กองทุนรวมหุ้นเชิงรับที่เน้นลงทุนตามดัชนี SETESG

โดยกองทุนทั้งหมดนี้มีให้เลือกนโยบายได้ว่าจ่ายปันผลหรือไม่จ่ายปันผล โดยเสนอขายครั้งแรกให้ประชาชนทั่วไป (IPO) วันที่ 8-15 ธันวาคมนี้  

 

สุดท้ายนี้ ผมขอแนะนำผู้ลงทุนทุกท่านครับว่า เดือนนี้เป็นเดือนสุดท้ายแล้วสำหรับการลงทุนเพื่อลดหย่อนภาษีสำหรับปี 2566 ไม่ต้องรอให้เวลางวดเข้ามาเต็มที่ครับ ลงทุนได้เลย ซึ่งเวลานี้ราคาหุ้นไทยก็ปรับลดลงมามาก โอกาสที่จะปรับลดลงลึกไปกว่านี้มีค่อนข้างน้อยแล้ว 

 

ขณะที่เงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติที่เคยไหลออกไปมากก่อนหน้านี้ จากปัจจัยเงินบาทอ่อนค่า ปัจจัยในประเทศที่การจัดตั้งรัฐบาลมีความล่าช้า และผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมาก็ไม่ได้ดูดีมากเท่าที่ควร ณ เวลานี้ เงินลงทุนที่ไหลออกก็ชะลอลงไปแล้ว และในปี 2567 เศรษฐกิจมีโอกาสขยายตัวมากขึ้น หากการส่งออกกลับมาฟื้นตัว นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมา บวกกับรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นการบริโภค ส่วนธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็คงจะหยุดการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว ซึ่งโดยปกติเมื่อต้นทุนเริ่มคงที่ ทั้งตราสารหนี้และหุ้นไทยก็น่าจะได้ผลบวกไปด้วย ดังนั้นด้วยปัจจัยสนับสนุนที่รออยู่เหล่านี้ ผมมองว่าหลังจากลงทุนลดหย่อนภาษีในช่วงปลายปีนี้ไปแล้ว ในปี 2567 ท่านก็สามารถทยอยลงทุนทุกเดือนในกองทุนลดหย่อนภาษีได้เลยตั้งแต่ช่วงต้นปี 

 

สำหรับใครที่ถือกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) จนครบกำหนดแล้ว ก็เป็นโอกาสที่ดีนะครับที่ท่านจะย้ายเงินมาลงทุนในกองทุน Thai ESG ต่อ เพื่อให้เงินลงทุนก้อนเดิมได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง รับสิทธิลดหย่อนภาษีต่อแบบไม่ขาดตอนครับ  

 

คำเตือน:  

  • การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
  • กองทุนรวมนี้มีลักษณะเฉพาะและความเสี่ยงเฉพาะ ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุน กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษีจะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน รวมถึงควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตนและยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้
  • เงินลงทุนในกองทุน Thai ESG นำไปลดหย่อนภาษีได้ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2566 ทั้งนี้ เงื่อนไขสิทธิประโยชน์ทางภาษีต้องเป็นไปตามกฎหมายและประกาศที่กำหนดโดยกรมสรรพากร 
  • ศึกษาข้อมูลกองทุนหลักและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม ไทยพาณิชย์ จำกัด หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ SCB Call Center โทร. 0 2777 7777

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X