ต้องยอมรับจริงๆ ว่าครั้งแรกที่ผมได้รับโจทย์ให้สัมภาษณ์ศิลปินคนนี้ที่ชื่อ ทรอย ซีวาน (Troye Sivan) มันทำให้ผมหัวใจเต้นถี่สูบฉีดเร็วมาก เพราะในฐานะที่ผมเป็นแฟนเพลงของเขา การได้สัมภาษณ์ ทรอย ซีวาน สักครั้ง ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ครอบครัวและวงศ์ตระกูลภูมิใจไม่น้อย รวมถึงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ตั้งแต่ที่ชื่อของเขาปรากฏอยู่ใน Wikipedia ยืนยันการมีอยู่ของศิลปินคนนี้ เราก็ได้เห็นพัฒนาการและการเติบโตของตัวเขามาตลอด จนถึงวันนี้ วันที่หนุ่มหน้ามนคนชื่อ ‘ทรอย’ กำลังมีเวิลด์ทัวร์เป็นของตัวเอง และกำลังจะเดินทางมาแสดงคอนเสิร์ตที่ประเทศไทย
แน่นอนว่า มันน่าตื่นเต้นจริงๆ ที่เขาจะมาเมืองไทย แต่มากกว่านั้นการที่ผมจะได้สัมภาษณ์เขา มันยิ่งทำให้ผมประหม่า ลนลาน และยอมรับตรงนี้เลยว่า ผมไม่สามารถทำงานสัมภาษณ์นี้ออกมาดีหรือพอใจเทียบเท่ากับความคาดหวังของตัวผมเองด้วยซ้ำ และนี่คือ 8 นาทีที่เราคุยกันอย่างรวบรัด ถอดทุกคำพูดของเขามาให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์การได้ใกล้ชิดศิลปินในดวงใจที่อยู่ห่างไปแค่ปลายสาย
ทรอย ซีวาน (Troye Sivan) คือศิลปินหนุ่มเลือดใหม่ที่ก้าวขึ้นมาเป็นแถวหน้าของวงการดนตรีในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยเนื้อหาและการเล่าเรื่องที่หยิบยกเอาประสบการณ์และปูมหลังของชีวิตเกย์วัยรุ่นคนหนึ่งมานำเสนอได้อย่างละเมียดละไม จริงใจ และเต็มไปด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นอยู่ภายใต้ท่วงทำนองและเนื้อร้องเหล่านั้น ถ้าถามว่าทำไมผมถึงชอบเขา เหตุผลก็มีอยู่ง่ายๆ คือเพลงน่าสนใจ บวกกับความจริงใจที่เขามีต่อตัวเองและโลกใบนี้ หนำซ้ำเขายังมีทัศนคติที่แสนดีเกี่ยวกับชีวิตและความรักที่คนในยุคเราๆ และถัดๆ ไปควรเอาเยี่ยงอย่าง
“เป็นเกียรติของผมอย่างมาก ที่ได้พูดคุยกับคุณในวันนี้ครับ” ผมรีบทักทายทรอยทันทีที่เขารับสาย แน่นอนว่า ตอนนั้นเขาคงกำลังพร้อมสุดๆ กับการให้สัมภาษณ์สื่อจากหลากหลายประเทศ แต่สื่อจากประเทศไทยอย่างผมก็ยังตาปรือด้วยความง่วง เพราะขณะสัมภาษณ์มันเป็นเวลา 7 โมงตรงของเช้าวันเสาร์
“การมาเปิดการแสดงที่เมืองไทยในเดือนพฤษภาคมนี้ น่าจะเป็นครั้งแรกที่คุณได้เดินทางมาเมืองไทยใช่หรือไม่?” ผมถามเขาอย่างฉับไวทันทีที่ทักทายเสร็จ
“ผมไม่เคยเดินทางไปเที่ยวเมืองไทยเลยแม้แต่ครั้งเดียว…” เขาตอบผมอย่างตื่นเต้น ก่อนจะค่อยๆ เล่าให้ฟังต่อ “แต่เพื่อนๆ ผมก็มาเล่าให้ฟังอยู่ตลอดว่า ประเทศไทยมีอะไรให้ทำเยอะมาก และเพื่อนๆ ผมก็ดูจะสนุกกับการท่องเที่ยวเมืองไทยนะ แล้วผมก็จะเป็นแบบว่า ‘โอ๊ย ฉันอยากไปมาก’ (หัวเราะ) จริงๆ เราก็ดูไม่ห่างกันเท่าไรนะ ออสเตรเลียกับประเทศไทย แต่ทำไมผมยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปสักที” อาจจะถูกของเขาว่า บนแผนที่โลก เราอาจจะห่างกันไม่เท่าไร แต่อย่างน้อยๆ คุณก็ต้องใช้เวลาราว 6-9 ชั่วโมงในการบินมาเจอพวกเรา และผมก็ยิ่งตื่นเต้น เพราะน้ำเสียงของทรอยช่างน่าฟัง จริงใจ และมีพลังงานบวกส่งผ่านมาให้เราอย่างมาก
“แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าประเทศไทยของเรา ขึ้นชื่อว่าเป็นสวรรค์ของความหลากหลายทางเพศแห่งอาเซียนเลยนะ ถึงเราจะไม่ได้มีกฎหมายรองรับอย่างถูกต้อง แต่อย่างน้อยเราไม่ลงโทษใครสักคนเพียงเพราะเป็นเกย์แน่นอน” ผมเล่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ให้เขาฟังในฐานะเจ้าบ้านที่รอคอยต้อนรับเขาอยู่ “ใช่ ผมเคยได้ยินอย่างนั้น แน่นอนว่ามันสนุกมาก อย่างที่บอกว่าเพื่อนๆ ของผมเคยได้รับประสบการณ์เหล่านั้น และผมเองก็ตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้ไปประเทศไทย”
คอนเสิร์ต Bloom ของ ทรอย ซีวาน เริ่มทัวร์มาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา โดยเขาตระเวนทัวร์ในประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อนจะโยกย้ายมาทัวร์ในยุโรปและประเทศอังกฤษ และจะปิดท้ายทัวร์ที่เอเชีย ซึ่งแน่นอนว่า Bloom World Tour Live in Bangkok ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้ จะเป็นการแสดงรอบสุดท้ายปิดฉากเวิลด์ทัวร์ครั้งแรกของศิลปินหนุ่มคนนี้อย่างสวยงาม คล้ายๆ กับศิลปินรุ่นพี่อย่าง แซม สมิธ (Sam Smith) กับ The Thrill of It All World Tour ที่แสดงเวิลด์ทัวร์ที่ประเทศไทยเป็นประเทศสุดท้าย เมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา
“ดูเหมือนว่าแฟนๆ ของคุณจะชอบมูฟเมนต์ใหม่ๆ ของคุณในอัลบั้มนี้มาก ในทุกๆ ท่วงท่าที่นำเสนอผ่านเอ็มวีของคุณ แล้วในคอนเสิร์ตเราจะได้เห็นเซอร์ไพรส์อะไรหรือเปล่า?” ผมตั้งคำถามกับการเปลี่ยนแปลงที่เติบโตและรุนแรงของงานด้านภาพ รวมถึงการแสดงออกถึงตัวตนของทรอยในอัลบั้ม Bloom นี้ ที่จะส่งต่อมายังการแสดงคอนเสิร์ตในทัวร์ครั้งนี้
“จริงๆ ก็เป็นเพราะเพลงของผมที่สนุกขึ้น สามารถเต้นได้มากขึ้น มันจะมีพลังงานใหม่ๆ เกิดขึ้นจากตัวผม ไม่มีอะไรเซอร์ไพรส์เป็นพิเศษหรอก แต่ผมจะทำให้เต็มที่ที่สุด ให้ทุกคนมาสนุกกับบทเพลงของผม เติมชีวิตให้กับบทเพลงเหล่านั้นกัน”
และนอกเหนือไปจากอัลบั้ม Bloom ของเขา ที่มีเพลงน่าสนใจมากมายทั้ง My My My!, Bloom, Dance to This (Feat. อะรีอานา กรานเด) แล้ว ในปีเดียวกันนี้เองที่เขาได้ผลิตเพลงที่แสนงดงามเพลงหนึ่งออกมาในชื่อ Revalation ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Boy Erased ว่าด้วยเรื่องของครอบครัวหนึ่งที่ตั้งใจพาลูกชายที่เป็นเกย์เข้ารับการบำบัด ซึ่งเขาก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม จนมีสิทธิ์ลุ้นเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขา Best Original Song ซึ่งในตอนนี้รายชื่อผู้เข้าชิงได้ประกาศออกมาแล้ว และไร้ซึ่งวี่แววของเพลงนี้ (ไม่เป็นไร งานหน้าเอาใหม่นะ)
“ตอนนั้นผมก็ตื่นเต้นมาก แต่ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเลยนะ ไม่ได้อยู่ในความคิดด้วยซ้ำว่าเพลงของเราโดดเด่นถึงขั้นได้ชิงรางวัล แต่ผมภูมิใจกับผลงานชิ้นนี้มาก ผมชอบตัวหนังมากด้วย แต่ถ้ามันได้ไปไกลถึงเข้าชิง ผมคงเป็นบ้าแน่นอน” ทรอยตอบคำถามของผมเกี่ยวกับเพลงดังกล่าวอย่างร่าเริงและจริงใจ
ถ้าอย่างนั้นผมขอถามถึงเพลงใหม่ของคุณที่ร่วมทำกับ Lauv ดีกว่า
“I’m so tired ใช่ไหม?”
“ใช่เลย” ซึ่งให้พูดตรงๆ ก็คือในตอนที่ผมสัมภาษณ์เขา เพลงยังไม่ได้ปล่อยออกมา แต่ตอนนี้ทุกคนคงน่าจะได้ฟังกันครบถ้วนแล้ว โดยในบทสัมภาษณ์ใน Billboard เอง Lauv ก็ประกาศกร้าวแล้วว่าเขาเป็นแฟนตัวยงคนหนึ่งของทรอย
“เราทำงานด้วยกัน ผมเขียนเพลงนี้กับเขา (Lauv) ผมว่าเขาเป็นคนที่เก่งมากๆ คนหนึ่ง ผมดีใจที่ได้ร่วมงานกับเขา และผมเองก็ชอบเพลงนี้มาก” ทรอยกล่าว
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ทรอย ซีวาน ออกมาเปิดเผยว่า เขาเป็นเกย์อย่างกล้าหาญในวัยเพียง 15 ปี ผ่านทางช่องยูทูบของตัวเอง และวิดีโอที่ชื่อ Coming Out ของเขานั้น ก็เป็นแรงกระเพื่อมที่เกิดขึ้นในหมู่ของเด็กวัยรุ่น ที่เสมือนได้รับแรงบันดาลใจที่ไม่จำเป็นต้องปกปิดหรือหลบซ่อนตัวตนของเขาไว้ข้างใน และเพียงชั่วข้ามคืน เขาก็กลายมาเป็นไอคอนของกลุ่มความหลากหลายทางเพศคนสำคัญคนหนึ่งในเจเนอเรชันนี้
“ยังมีอะไรที่คุณอยากทำแล้วยังไม่ได้ทำอีกไหม นอกเหนือจากการทำเพลงและการแสดง” ผมถามถึงบทบาทต่อไปที่เขาอยากจะทำหรือยังไม่ได้ทำ
“โอ้ อยากตอบว่า อยากทำอะไรก็ได้ (หัวเราะ) เพราะผมอยากทำหลายอย่างเหลือเกิน ผมอยากทำงานเบื้องหลัง อยากเป็นโปรดิวเซอร์ มันคงสนุกน่าดู”
“จริงๆ ต้องขอบคุณทุกคนที่ให้เกียรติผมขนาดนี้…” ทรอยตอบผม หลังจากที่ผมถามเขาถึงประเด็นเรื่องการที่เขาเป็นเสมือนกระบอกเสียงสำคัญของกลุ่มความหลากหลายทางเพศคนหนึ่งในเจเนอเรชันนี้
“…มันทำให้ผมได้นึกถึงตอนที่ผมรู้สึกถึงแรงกดดันจากภายนอกและคนอื่นๆ เรามองไม่เห็นตัวเองเลย แต่พอเรากำจัดแรงกดดันเหล่านั้นออกไป มันดีมากที่เราได้เป็นตัวของตัวเอง และผมชอบที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นๆ ให้ผ่านพ้นสถานการณ์เช่นนั้นเหมือนกัน ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติอย่างมากที่เราควรเป็นตัวของตัวเอง และผมจะทำมันต่อไป”
เห็นหรือไม่ว่าทำไมผมถึงบอกว่า ศิลปินคนนี้มีทัศนคติที่ดีแสนดีจนเราควรเอาเยี่ยงอย่าง กับมุมมองของเขาในฐานะ LGBTQ คนหนึ่ง ที่ส่งต่อพลังงานบวกสู่ LGBTQ คนอื่นๆ รวมไปถึงคนอื่นๆ ในสังคมโลกอีกด้วย ผมจึงลองคุยกับทรอยเล็กน้อยเกี่ยวกับสถานการณ์เรื่องการยอมรับกลุ่ม LGBTQ ในเมืองไทย ที่ตอนนี้เรื่อง ‘พ.ร.บ. คู่ชีวิต’ ดูจะเป็นประเด็นใหญ่ที่พูดถึงกันอย่างแพร่หลาย
“ผมอยากบอกแค่ว่า ‘โชคดีนะ’ ผมอยากให้พวกคุณอย่าหยุดต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม และการแต่งงานของคนเพศเดียวกันจะต้องเกิดขึ้นแน่ ขนาดในบ้านของผมเอง ที่ออสเตรเลีย พวกเราต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน และในวันหนึ่งเราก็ทำสำเร็จ ผมเชื่อในตัวพวกคุณ และคิดว่าสักวันต้องเป็นคิวของคนไทยแน่นอน”
ด้วยความลนลานของการสัมภาษณ์ และสติสัมปชัญญะที่หลอมละลายไปหมดกับความตื่นเต้น ผมก็สามารถประคับประคองตัวเองมาถึงคำถามสุดท้ายได้อย่างไม่น่าเชื่อ และผมเองก็เลือกตั้งคำถามกับเขา ด้วยเนื้อเพลงของเขาเอง “Please tell me all the ways to love you” (เนื้อร้องจากเพลง Lucky Strike) และพอหลังจากการฮัมเป็นเมโลดี้ที่ดูไม่เข้าท่า เขาก็หัวเราะร่วนอยู่พักหนึ่ง
“วิธีที่จะทำให้ผมรักคุณน่ะเหรอ? ผมคงบอกว่า คุณจะต้องทำอาหารมื้ออร่อยๆ ให้ผมทาน และทำให้ผมหัวเราะได้ทุกวัน แค่นั้นก็พอแล้ว” ทรอยตอบด้วยน้ำเสียงอันจริงใจ และดูเหมือนว่าเขาน่าจะกำลังยิ้มอยู่ อาจจะด้วยความตลกของผม หรือความอารมณ์ดีของเขาเองก็ไม่รู้ แต่ก็นับได้ว่าเป็นคำตอบที่น่าประทับใจเหลือเกิน
“เป็นเกียรติอย่างมากที่ได้สัมภาษณ์คุณในวันนี้” ผมกล่าวอำลาเขาอย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะสิ้นสุดการสนทนา เขาชี้ชวนอีกครั้งฝากมาถึงแฟนๆ เขาว่า “See you in Bangkok, soon”
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
- Troye Sivan The Bloom World Tour Bangkok 2019 จะจัดขึ้นในวันที่ 8 พฤษภาคมนี้ ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 5 เมืองทองธานี โดยคุณสามารถหาซื้อบัตรเข้าชมได้แล้ววันนี้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา หรือ www.thaiticketmajor.com