‘ภราดร ปริศนานันทกุล’ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) อ่างทอง 4 สมัย จากพรรคภูมิใจไทย ผู้ปฏิบัติหน้าที่รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 มาแล้วเกือบ 6 เดือน
จากเดิมที่วางไว้ให้เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 แทน ‘ปดิพัทธ์ สันติภาดา’ หลังยุบพรรคก้าวไกล
แต่ 1 วันสุดท้ายก่อนที่จะมีการโหวตเลือกรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ได้ดีลใหม่ มาจากพรรคแกนนำรัฐบาล ให้ ‘พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน’ ลาออกจากตำแหน่งรองประธานผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เพื่อเปิดทางโหวตใหม่ทั้ง 2 ตำแหน่ง และสลับให้ ‘พิเชษฐ์’ จากพรรคเพื่อไทย ขึ้นเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 แทน ส่วน ‘ภราดร’ จากพรรคภูมิใจไทย ไปเป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2
พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1
และภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
ภราดร ‘เกิด’ และ ‘เติบโต’ จากกระกูลการเมือง ‘ปริศนานันทกุล’ ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่จังหวัดอ่างทองมาอย่างยาวนาน เขาลงสนามการเมืองครั้งแรกในปี 2550 และสามารถชนะเลือกตั้ง เป็น สส. สมัยแรกในอายุ 27 ปี
มีบิดาชื่อ ‘สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล’ เป็นอดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง อดีต สส. อ่างทอง 9 สมัย และที่สำคัญที่สุด เคยเป็นอดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ในสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 21 (2544 –2548) เป็นผู้ ‘วางรากฐาน’ ให้ภราดรได้ ‘เดินตามรอยเท้าพ่อ’
‘ภราดร’ ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 เปิดห้องทำงานชั้น 10 ภายในสัปปายะสภาสถาน สนทนาพิเศษกับ THE STANDARD ถึงบทบาทการทำงานตลอด 6 เดือนในตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 และเส้นทางชีวิตนักการเมืองอาชีพ ผู้ตามรอยพ่อตลอด 18 ปีที่ผ่านมา
เดินตามรอยเท้าพ่อ
ภราดรวัย 45 ปี เริ่มต้นเล่าชีวิตนักการเมืองของตัวเอง ผู้เดินตามรอยเท้าพ่อบนเส้นทางการเมืองว่า “พ่อไม่ได้สอนผมด้วยคำพูด แต่พ่อสอนผมด้วยการกระทำ”
‘สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล’ พ่อของเขา ลงรับสมัครเป็นผู้แทนราษฎรตั้งแต่ปี 2529 ขณะนั้นเขายังเป็นเพียงเด็กชายภราดร ที่มีอายุแค่ 7 ขวบ และยังเรียนอยู่ระดับชั้นประถมศึกษาเท่านั้น
เด็กชายภราดร วัย 13 ปี ลงพื้นที่พบประชาชนกับพ่อ
‘สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล’ ผู้แทนราษฎร จังหวัดอ่างทอง
ภาพ: Paradorn Battman / Facebook
ภราดรเล่าว่า ได้มีโอกาสติดตามพ่อไปลงพื้นที่ ได้เห็นวิถีชีวิตของผู้แทนราษฎร ได้ซึมซับในสิ่งที่พ่อทำ ไปอยู่กับชาวบ้าน ไปรับฟังปัญหา นับว่าเป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับที่จะส่งต่อจิตวิญญาณความเป็นนักการเมืองให้กับคนอีกรุ่นหนึ่ง
เมื่อได้เข้ามาเป็นผู้แทนฯ ได้สัมผัสวิถีชีวิตของนักการเมืองแล้วก็ทราบว่า นักการเมืองไม่ใช่งานง่าย หรือเรื่องงานสบาย คนที่จะทำอาชีพนี้ได้ ต้องมีใจรัก เพราะจะไม่มีเวลาให้กับครอบครัว ผมอยู่ใน 2 สถานะ โดยสถานะแรก คือ นักการเมือง และอีกสถานะ คือ คนในครอบครัวนักการเมือง ซึ่งล้วนต้องเสียสละชีวิตส่วนตัวไปมากพอสมควร
“เวลาที่มีให้กับครอบครัวนั้นน้อยมากๆ พ่อออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้า ออกไปตั้งแต่ผมยังไม่ตื่น กลับบ้านมาตอนที่ผมหลับไปแล้ว สมัยเด็กผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก แต่มีสิ่งหนึ่งที่สอนให้ผมรู้ คือ การจะเป็นนักการเมืองต้องมีความทุ่มเทให้กับชาวบ้าน ให้กับประชาชนถึงจะได้มีโอกาสกลับมาเป็นผู้แทนของเขาในการเลือกตั้งครั้งถัดไป”
“การเติบโตในครอบครัวตระกูลการเมือง ทำให้คุณภราดรเข้ามาสู่เส้นทางการเมืองง่ายกว่าผู้อื่นหรือไม่” THE STANDARD ถาม
ภราดรยอมรับว่า ง่ายกว่าคนอื่นๆ ในช่วงแรก โดยเฉพาะช่วงของการแนะนำตัว ได้เปรียบว่า ผมเป็นลูกชายของอดีตนักการเมืองคนนี้ และจะมาลงสมัคร สส. เขตนี้ แต่ในระยะกลาง และระยะยาว มันกลายเป็น ‘ความท้าทาย’ มากกว่า
สองพ่อลูก ‘ปริศนานันกุล’
สติกเกอร์หาเสียงของภราดร และสมศักดิ์
ภาพ: Paradorn Battman / Facebook
พ่อพูดเสมอว่า ตำแหน่งทางการเมือง หรือ การเป็น สส. ไม่ได้เป็นมรดกที่จะส่งต่อให้ลูกได้เหมือนนักธุรกิจ นักการเมืองต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน ถ้าทำให้ประชาชนพอใจไม่ได้ หรือประชาชนไม่ได้รับรู้ถึงความจริงใจ ไม่ว่าจะเป็นอดีตผู้แทนฯ 9-10 สมัย ถ้าประชาชนก็ไม่เลือก ก็ไม่มีโอกาสมาเป็นนักการเมือง
เป็นความท้าทายและเป็นความกดดัน ที่เราจะต้องทำหน้าที่ให้ได้เหมือนที่คนรุ่นก่อนเขาทำไว้
THE STANDARD จึงถามต่อ “แล้วรู้สึกอย่างไรที่คนในสังคมส่วนใหญ่เวลานี้ มองลูกหลานนักการเมืองในแง่ลบ”
ภราดรมองว่า เรื่องนี้อยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่าที่จะมองเป็นภาพรวม พร้อมทั้งตั้งคำถามกลับว่า การที่คนเหล่านั้นได้เป็นผู้แทนฯ อย่างต่อเนื่องเกิดจากอะไร บางคนได้รับเลือกตั้งแค่สมัยเดียวก็ไม่ได้เป็นอีก หรือทำไมบางคนเป็นแล้วเป็นอีก แน่นอนว่าต้องเกิดจากการทำให้ประโยชน์ให้ชาวบ้าน และชาวบ้านรู้สึกพึงพอใจจึงเลือกเขากลับมา
คนที่เป็นทายาทนักการเมือง ไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพล หรือต้องสร้างเครือข่ายของบ้านใหญ่ทั้งหมด แต่ควรจะต้องไปศึกษามากกว่าคนที่ได้รับเลือกตั้งบ่อยๆ ต่อเนื่องติดต่อกัน นั้นมีปัจจัยอะไร เหตุใดจึงยังได้รับการเลือกตั้งอยู่
6 เดือน หน้าที่ ‘รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2’
‘ภราดร’ เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ของสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ในโควตาพรรคภูมิใจไทย ได้รับเลือกจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันพุธที่ 11 กันยายน 2567 ซึ่งระยะเวลาผ่านมาแล้วเกือบ 6 เดือน
ภราดร รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ในโควตาพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า เริ่มที่จะคุ้นเคยกับหน้าที่ และภาระงานที่ได้รับมอบหมายมากขึ้นแล้ว มีหน้าที่หลัก คือ การทำหน้าที่ประธานในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร รวมถึงทำภารกิจตามที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรได้มอบหมาย และมีงานประจำ เช่น ด้านกฎหมาย ด้านประชาสัมพันธ์ ด้านวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา ด้านสำนักวิชาการ งานห้องสมุด งานพิพิธภัณฑ์
อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยินดีกับ ‘ภราดร’
ในโอกาสได้รับเลือกให้เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 โควตาพรรคภูมิใจไทย
เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
ภราดรกล่าวว่า งานใหญ่ที่สุดที่ได้รับมอบหมายจากประธานสภาผู้แทนราษฎร คือ การทำให้ ‘สัปปายะสภาสถาน’ รัฐสภาหมื่นล้านของไทย ‘เป็นสภาของประชาชน’ ให้ความใกล้ชิดกับประชาชน ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารของสภา และเข้าถึงการทำหน้าที่ของ สส. ให้ได้มากที่สุด
จึงได้มีการคิดแคมเปญทำกิจกรรมต่างๆ ให้ประชาชนได้เข้ามาใช้สถานที่ของรัฐสภา เช่น กิจกรรมสภาไร้พุง เป็นหนึ่งในแคมเปญที่ตั้งเป้าให้รัฐสภาเป็นหนึ่งในสวนสาธารณะใจกลางเมือง โดยการเปิดให้ประชาชนที่ต้องการที่จะออกกำลังกายเข้ามาได้ใช้สถานที่ได้
ขณะที่ งานด้านวิทยุโทรทัศน์รัฐสภา ก็มีความพยายามที่จะทำให้ทีวีรัฐสภาสามารถสื่อสารกับประชาชนได้มากขึ้น โดยในอนาคตคาดหวังจะเปิดโอกาสให้บุคคลภายนอกเข้ามาใช้ทรัพยากรของรัฐสภาได้ ไม่ว่าจะเป็นห้องออกอากาศ สถานที่ แม้กระทั่งแอร์ไทม์ของทีวีรัฐสภา
ขณะนี้เริ่มต้นไปแล้ว 2 โครงการ คือโครงการสภาวาที เปิดโอกาสให้กับเยาวชนได้เข้ามาใช้บริการ และตั้งเป้าหมายทำรายการใหม่ให้ประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงการเมืองเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับทีวีรัฐสภามากขึ้น
หนึ่งสัปดาห์หลังได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2
ภราดร ทำหน้าที่ประธานฯ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 25
(สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 1) เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
“ผลงานอะไรที่จับต้องได้ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา และวาง KPI การทำงานของตัวเองในตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 อย่างไร” THE STANDARD ถาม
ภราดรตอบว่า แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรก คือ การทำหน้าที่บนบัลลังก์ประธานในห้องประชุมให้ดำเนินการไปได้ด้วยดี ไม่ให้เกิดเหตุการณ์ประท้วง หรือ เกิดการทะเลาะกัน ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากตัวสมาชิกด้วย พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด คือ ควบคุมการประชุม โดยยึดข้อบังคับ และยึดรัฐธรรมนูญเป็นหลัก
“อาจขัดใจผู้อภิปรายไปบ้าง แต่ก็ยืนยันว่าเป็นการทำหน้าที่ ที่จะให้ใช้เวลาของสภาให้คุ้มค่าที่สุด ลดเวลาที่สูญเสียไปโดยไม่จำเป็น เช่น การประท้วงที่มีการทะเลาะโต้แย้งกัน ก็พยายามที่จะลดมันให้ได้มากที่สุด”
ส่วนการแบ่งงานในการทำหน้าที่ประธานในการประชุมนั้น ในแต่ละสัปดาห์ประธานสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้แบ่ง โดยยึดจากภารกิจของแต่ละคน เช่น ผมมีประชุมในช่วงบ่าย ประธานฯ ก็จะเลี่ยงเวลาช่วงบ่ายให้ ก็จะต้องหน้าที่ในตอนเช้าและตอนเย็น โดยมีการจัดสรรอย่างเท่าเทียม คนละ 2-3 ชั่วโมง
ภราดร ขณะทำหน้าที่ประธานการประชุมสภาผู้แทนราษฎร
ซึ่งมีญัตติหารือเหตุการณ์การสลายการชุมนุมตากใบ
เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2024
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
ส่วนงานด้านอื่นๆ ก็ได้รับผิดชอบสำนักงานกฎหมาย และการบรรจุระเบียบวาระตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งบรรจุระเบียบวาระตามรัฐธรรมนูญนั้น ตามมาตรา 77 ต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนก่อน ก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อพิจารณาประเด็นต่างๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งดำเนินการอยู่บนเว็บไซต์ ก็ดำเนินการไปได้ด้วยดี
ภราดรกล่าวว่า ตนเองอยากเพิ่มช่องทางการรับฟังความคิดเห็นทางออนไซต์ด้วย เนื่องจากการลงพื้นที่พบประชาชนที่ได้รับผลกระทบ เชื่อว่าจะสื่อสารกันได้ดีกว่าการทำรับฟังความคิดเห็นบนเว็บไซต์ แต่ยังติดในเรื่องของงบประมาณ ก็ได้แจ้งสำนักกฎหมายไปแล้วว่า ควรที่จะต้องรับฟังมากขึ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างรัฐสภากำลังเสนอต่อสำนักงบประมาณ
ส่วนงานด้านการอาคาร เช่น พัฒนาห้องสมุดและพิพิธภัณฑ์สภา ซึ่งได้รับมอบหมายจากประธานสภาผู้แทนราษฎรให้เร่งทำให้เสร็จเร็วที่สุด อย่างพิพิธภัณฑ์จากการที่ได้ไปศึกษาดูงานต่างประเทศ เห็นว่ารัฐสภาของประเทศอื่นล้วนมีประวัติศาสตร์การเมืองให้รับชมมากมาย แต่เมื่อเทียบกับรัฐสภาไทยเรื่องเล่าในเหตุการณ์ที่สำคัญทางการเมืองน้อยมาก
ขณะนี้อยู่ในช่วงก่อสร้างอยู่แล้ว โดยในปีงบประมาณ 2569 จะมีการของบประมาณมาสร้างพิพิธภัณฑ์แล้วประมาณ 300 ล้าน ซึ่งมีทั้งสิ้น 2 ชั้น คือชั้น M1 และ ชั้น 11
ส่วนห้องสมุดตามแบบเดิมอยู่ที่ชั้น 9 ในความเป็นจริง แม้จะอนุญาตประชาชนทั่วไปสามารถที่จะเข้าถึงและเข้าใช้บริการได้ แต่ในทางปฏิบัตินั้นทำไม่ได้ เพราะว่ามันลึกลับซับซ้อนเกินไป ต้องใช้ลิฟต์เฉพาะที่จึงขึ้นไปได้
“ตอนผมเป็นแค่ผู้แทนฯ ผมยังไม่เคยใช้เลย”
ภราดรบอกกับ THE STANDARD ถึงโอกาสในการใช้บริการห้องสมุดรัฐสภา
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
ประธานสภาผู้แทนราษฎรจึงให้แนวคิดว่า ห้องสมุดควรจะต้องอยู่ในพื้นที่ที่ใกล้ชิดกับประชาชน ควรเป็น Co-working Space ให้ประชาชนได้ค้นหาข้อมูล และควรเป็นสถานที่ที่เฟรนด์ลีกับประชาชน
ขณะนี้ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาแล้ว 1 ชุด รวมถึงได้เชิญทางโยธาธิการและผังเมืองมาให้เขาช่วยออกแบบ ให้ซึ่งเสร็จในช่วงเดือนเมษายน โดยสถานที่วางไว้ในจุดสำหรับทำห้องสมุดไว้ที่ชั้น 1 ตรงบริเวณสระมรกต กลางอาคารรัฐสภา
สระมรกต กลางอาคารรัฐสภา
กำลังจะถูกเปลี่ยนเป็นห้องสมุดแห่งใหม่
“ตรงที่สระมรกต ก็สูบน้ำออกเลย แล้วก็ทำโครงสร้างเป็นแบบเป็น Co-working Space จะทำให้รัฐสภามีห้องสมุดทั้งสิ้น 2 ที่ คือ ชั้น 9 ห้องสมุดเดิม ส่วนชั้น 1 จะเป็นห้องสมุดที่เข้าถึงง่าย เป็น e-Library สำหรับหาข้อมูลบนคอมพิวเตอร์”
สำหรับไทม์ไลน์ที่วางไว้ คือ จะขอใช้งบแปรญัตติ (ร่างงบประมาณปกติที่ถูกปรับลดเปลี่ยนแปลงในชั้นคณะกรรมาธิการฯ ภายหลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรรับหลักการ (วาระที่ 1)) เพราะใช้ของบประมาณปกติไม่ทัน โดยจะมีการขอแปรญัตติเข้าไป และอยู่ในอำนาจของคณะกรรมาธิการการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ด้วยว่า จะพิจารณาอย่างไร
ทำงาน 7 วัน 4 สมัยติด
“แบ่งเวลาการทำงานทั้ง 2 หน้าที่ ทั้งบทบาท สส. และประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 อย่างไร” THE STANDARD ถาม
ภราดรเล่าว่า ใน 1 สัปดาห์ ตอนที่เป็น แค่ สส. ยังไม่ได้เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ในวันศุกร์ วันเสาร์ วันอาทิตย์ และวันจันทร์ช่วงเช้าจะอยู่ในพื้นที่กับประชาชน ส่วนวันจันทร์ช่วงบ่าย เนื่องจากผมเป็นวิปรัฐบาล ก็จะต้องเข้ากรุงเทพฯ มาประชุมวิปด้วย วันอังคารประชุมพรรค ส่วนวันพุธ และวันพฤหัสบดี ประชุมสภาผู้แทนราษฎร จะอยู่อ่างทอง 4 วัน อยู่กรุงเทพฯ วัน 3 วัน
ภราดร ขณะทำหน้าที่ สส. ร่วมประชุมสภาผู้แทนราษฎร
แฟ้มภาพ: ฐานิส สุดโต
แต่เมื่อได้รับตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 นอกเหนือจากวันที่มีการประชุมสภาแล้ว ก็ยังมีภารกิจอื่นๆ ที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรท่านมอบหมายด้วย ก็ทำให้ปัจจุบันนี้ วันจันทร์-วันศุกร์ จะต้องเข้ารัฐสภา อยู่กรุงเทพฯ 5 วัน และอยู่อ่างทองเพียงแค่ 2 วัน
“เมื่อรู้ว่าเรามีเวลาให้กับชาวบ้านน้อย เราก็ต้องใช้เวลาที่น้อยก็คือ 2 วันให้เกิดประโยชน์สูงสุด ต้องจัดตารางให้ดี เวลาที่จะไปพักผ่อนหรือเวลาส่วนตัวนั้นแทบจะไม่มี หรือถ้ามีก็น้อยมาก”
“ทำงาน 7 วัน ตลอด 4 สมัย ใช่ไหม” THE STANDARD ถาม
ภราดรตอบ “เป็นแบบนี้มาตลอด ส่วนที่เป็นวันหยุดก็น้อยมาก”
เจาะลึก พ.ร.บ.บ้านเกิดเมืองนอน ฉบับภูมิใจไทย
THE STANDARD ถาม “ในฐานะที่คุณภราดร เป็น สส. ภูมิใจไทย ชวนเจาะลึกเรื่องกฎหมาย พ.ร.บ.บ้านเกิดเมืองนอน ในส่วนการกระจายอำนาจ ระบุว่าไม่ควรที่จะจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งผู้บริหารท้องถิ่น 2 สมัย 8 ปี โดยถูกโยงว่า เป็นการทำเพื่อเครือข่ายของตัวเอง เนื่องจากกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย ล้วนเป็นคนที่มาจากกลุ่มบ้านใหญ่”
ภราดรตอบคำถามว่า วาระการดำรงตำแหน่งเป็นเรื่องที่พูดกันมาอย่างยาวนาน อย่างนายกฯ หรือผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ไม่ควรจะต้องไปกำหนดวาระ เหมือนองค์กรอิสระ ที่มาจากการแต่งตั้งจากคนไม่กี่คน การเข้ามาดำรงตำแหน่งขององค์กรอิสระไม่ได้เกิดขึ้นยาก ฉะนั้นการไปจำกัดอายุ หรือจำกัดวาระเพื่อไม่ให้เป็นยาวนานเกินไปนั้นถือว่า มีเหตุผล
แต่สำหรับคนที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน เราเชื่อหรือไม่ว่า ประชาชนฉลาด พอที่จะเลือกผู้แทนของเขา คนที่จะมาทำหน้าที่ต่างๆ ให้เขา ถ้าเชื่อในหลักการประชาธิปไตย แล้วเหตุใดจึงต้องไปดูแคลนการตัดสินใจของประชาชน มีนักการเมืองจำนวนมาก ที่ได้เป็นนายกฯ แค่สมัยเดียว แล้วไม่ได้กลับมาเป็นนายกฯ อีก
“หากเชื่อในหลักการประชาธิปไตย แล้วเหตุใดจึงต้องไปดูแคลนการตัดสินใจของประชาชน”
ภราดร บอกกับ THE STANDARD
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
เมื่อเราอยู่ในสังคมประชาธิปไตย เราควรเปิดโอกาสให้ชาวบ้านเป็นผู้ตัดสินใจ แต่เมื่อถึงเวลาคนที่เขาเลือกมาแล้ว ทำหน้าที่ให้ไม่ได้ ชาวบ้านก็เปลี่ยนคน ฉะนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะจำกัด หรือเอากฎหมายไปบีบบังคับ
ภราดรยืนยันว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ได้เอื้อผลประโยชน์ แต่เราให้เกียรติ และเคารพการตัดสินใจของประชาชน การไปจำกัดวาระ 2 สมัย นั่นหมายความว่า ปิดโอกาสไม่ให้ประชาชนเลือกคนที่เค้าอาจจะคิดว่าดีที่สุด ฉะนั้นอย่าไปปิดกั้นโอกาสของชาวบ้าน ให้ชาวบ้านเขาเลือกเอง
แต่หลักการใหญ่ของ พ.ร.บ.บ้านเกิดเมืองนอน เป็นเรื่องของการกระจายเม็ดเงินลงไปสู่ท้องถิ่น เราเห็นว่าทุกพรรคการเมืองพูดถึงเรื่องการกระจายอำนาจและเห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ แต่ไม่มีพรรคการเมืองไหนพูดว่า ควรจะต้องกระจายอำนาจเงิน เพราะปัญหาของท้องถิ่นทุกวัน ส่วนใหญ่ไม่สามารถทำภารกิจของท้องถิ่นให้สำเร็จลุล่วงได้ เพราะเงินงบประมาณที่ได้รับจัดสรรจากส่วนกลางนั้นน้อยเกินไป
“การจะทำให้ท้องถิ่นมันเติบโต หรือจะกระจายอำนาจที่แท้จริง จะต้องกระจายเงินงบประมาณให้เพียงพอกับความต้องการด้วย นี่คือหัวใจสำคัญ”
การเมืองระบอบประชาธิปไตย
THE STANDARD จึงถามต่อว่า “มองการเมืองในวันนี้ ยาวถึง 2 ปีข้างหน้าอย่างไร เพราะสถานการณ์การเมือง โดยเฉพาะภูมิใจไทย และเพื่อไทย 2 พรรคการเมืองใหญ่ตบตี ตบจูบกันทุกวัน”
ภราดรมองว่ายังอยู่ด้วยกันอีกนาน การตบจูบของพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทย คือ การเมืองที่แท้จริงของระบอบประชาธิปไตย ที่ไม่มีใครเห็นตรงกันทั้งหมด แม้แต่คนในพรรคการเมืองเดียวกันก็ ยังมีความเห็นต่าง แล้วนับประสาอะไรกับพรรคร่วมรัฐบาลที่มาจากต่างคน ต่างพรรค ต่างนโยบาย
ฉะนั้นบางเรื่องอาจมีการแสดงความคิดเห็นที่ไม่ตรงบ้าง แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็อยู่ที่นายกรัฐมนตรี ว่าจะผลักดันเรื่องเหล่านั้นไปในรูปแบบไหน จะนั่งฟังเสียงท้วงติงเพื่อแก้ไข และนำไปออกเป็นนโยบายของรัฐบาล รัฐบาลพรรคร่วมเป็นแบบนี้ทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะที่ประเทศไทย
ภราดร และกรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย
ร่วมกันแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
ภาพ: ณาฌารัฐ ภักดีอาสา
“การเมืองตั้งแต่เป็น สส. สมัยแรกจนถึงสมัยปัจจุบันต่างไปอย่างไร” THE STANDARD ถามต่อ
ภราดรกล่าวว่า การเมืองไทยก็เปลี่ยนไปตามกระแสของสังคม สมัยก่อนจำนวนผู้แทนที่มีอายุน้อยๆ มีน้อยมาก ไม่ถึงร้อยคน แต่วันนี้เปลี่ยนรูปแบบ ผู้แทนครึ่งหนึ่งเป็นผู้แทนที่เป็นรุ่นใหม่
“นี่คือเป็นกระแสของสังคมที่บอกกับนักการเมืองว่า นักการเมืองที่คิดแบบเก่า ไม่ทันกับยุคสมัย ไม่ตอบโจทย์กับชาวบ้าน เพราะชาวบ้านต้องการนักการเมืองที่เข้าใจปัญหา มีความใกล้ชิด มีความรู้ทันต่อโลก เข้าถึงได้ คล่องตัว”
ขณะเดียวกันการเข้าถึงการเมืองในปัจจุบัน ชาวบ้านก็สามารถเข้าถึงการเมืองได้ลึกมากกว่า เมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว
กรรมการบริหารพรรคภูมิใจไทย
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
อนาคตของภูมิใจไทย และอนาคตของภราดร
ภราดรในฐานะ สส. สังกัดพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงสิ่งพรรคต้องปรับแก้ไขก่อนจะสู่การเลือกตั้งปี 2570 ว่า ทุกคนในพรรคทราบดีว่า ยังไม่เห็นนโยบายภาพใหญ่ที่เป็นรูปธรรมของพรรคภูมิใจไทย
“พูดง่ายๆ พรรคเราไม่มีกระแส สู้กระแสของพรรคใหญ่อีก 2 พรรคไม่ได้ เพราะเราไม่ได้มีนโยบายมหภาค ไม่มีนโยบายระดับประเทศ ไม่มีนโยบายในเชิงโครงสร้าง ไม่มีนโยบายเศรษฐกิจภาพรวม ทั้งด้านสังคม ด้านการศึกษา ด้านต่างประเทศ ที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยไม่เคยนำเสนอมุมนี้ให้กับสาธารณะเลย เราเสนอแต่นโยบายลักษณะไมโคร”
ฉะนั้น ถ้าพรรคภูมิใจไทยอยากจะเติบโตมากกว่านี้ ต้องมีนโยบายระดับมหภาค หรือนโยบายภาพรวมของประเทศให้ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค และกรรมการบริหารพรรคล้วนทราบดี และกำลังแก้ไขในส่วนนี้อยู่
“พรรคภูมิใจไทยวาดฝันที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลด้วยหรือไม่” THE STANDARD ถาม
ภราดรตอบ การจะส่งต่อนโยบายสู่ประชาชนให้ได้อย่างเป็นรูปธรรม พรรคเราจะต้องเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เพราะฉะนั้นนโยบายต่างๆ ที่เรานำเสนอ หากว่าเราปฏิบัติแล้วจะทำให้ประเทศมันเติบโตมากขึ้น ประชาชนมีความสุขมากขึ้น จะทำได้ก็ต่อเมื่อเราเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลถึงจะขับเคลื่อนนโยบายได้ พรรคเราก็มีความคิดเหมือนกับพรรคการเมืองอื่นๆ
“พรรคภูมิใจไทยก็คิดเหมือนพรรคการเมืองอื่นๆ”
ภราดรยอมรับ มีความฝันที่จะเป็นพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
THE STANDARD ถามต่อไปอีก “คุณภราดรจะเล่นการเมืองไปอีกนานแค่ไหน”
ภราดรตอบว่า ยังไม่รู้ว่าจะทำการเมืองไปให้นานแค่ไหน ปัจจุบันสังคมเปลี่ยนเร็วหมุนเร็ว ก็คงเป็นวันที่รู้สึกว่า ตามโลกไม่ทัน และจำเป็นที่จะต้องเปิดโอกาสให้กับคนรุ่นใหม่เข้ามาทำหน้าที่แทน โดยจะจากไปแบบผู้ชนะ
ภราดรกล่าว อีกว่าการเลือกตั้งไม่ว่าครั้งไหน “ก็เหนื่อยทุกครั้ง” การเป็นนักการเมือง มันไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะกับอยู่ในพรรคที่ไม่มีกระแส คนที่เป็นผู้แทนฯ ก็จะต้องสร้างกระแสของตัวเองเพื่อมัดใจชาวบ้าน
ขณะเดียวกันเมื่อถูกเลือกไปแล้วประชาชนก็คาดหวังว่าเราจะไปทำอะไรให้บ้าง เมื่อเลือกไปแล้ว มันตอบโจทย์เขาหรือทำให้เขาหรือไม่
‘กรวีร์-ภราดร’ 2 พี่น้องปริศนานันทกุล
สส. อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร
“ผมเป็นนักการเมืองอาชีพ”
ก่อนจบการสนทนาครั้งนี้ THE STANDARD ขอให้ ‘ภราดร’ นิยามตัวเองบนเส้นทางการเมืองตลอด 18 ปีที่ผ่านมาว่าอย่างไร
ภราดรนิยามตัวเองด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ผมเป็นนักการเมืองอาชีพ”
นักการเมืองอาชีพ คือ คนที่มุ่งทำงานการเมืองเพียงอย่างเดียว โดยที่ไม่มีผลประโยชน์อื่นใดมาแอบแฝง น่าจะเคยได้ยินมาบ้างว่า นักธุรกิจเข้ามาทำงานการเมือง เพราะต้องการที่จะเอามาส่งเสริมและปกป้องธุรกิจของตัวเอง
นักการเมืองอาชีพมองแค่ประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน และไม่มีการเอื้อให้พวกพ้อง
“เมื่อเป็นนักการเมืองอาชีพ ก็ไม่มีอาชีพอื่น ฉะนั้นก็ยืนหยัดอยู่ได้ ทำยังไงให้ชาวบ้านเขาเลือก เราก็ไม่ทำชั่ว ต้องอยู่ข้างประชาชน มองประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง ถ้าคุณมองประโยชน์เป็นของชาวบ้านเป็นที่ตั้ง ประชาชนก็เลือกคุณ นี่คือนักการเมืองอาชีพ” ภราดรกล่าวทิ้งท้าย และจบบทสนทนาครั้งนี้กับ THE STANDARD
ภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2
หลังเสร็จสิ้นการสนทนากับ THE STANDARD
ภายในห้องทำงานชั้น 10 ภายในสัปปายะสภาสถาน
ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร