ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย (SET) วันนี้ (13 กรกฎาคม) ฟื้นตัวกลับขึ้นมาแตะระดับ 1,570 จุด เพิ่มขึ้น 21 จุด จากวันก่อนหน้า หลังจากที่ดัชนี SET ดิ่งลงไปทำจุดต่ำสุดของการย่อตัวในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ที่ระดับ 1,535 จุด
ส่วนนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิครั้งแรกในรอบ 4 วันทำการ แบ่งเป็นนักลงทุนสถาบันซื้อ 2,484 ล้านบาท และนักลงทุนต่างชาติซื้อ 1,436 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 3,527 ล้านบาท ส่วนพอร์ตลงทุนบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 393 ล้านบาท
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า การฟื้นตัวของตลาดในวันนี้ถือว่าแรงกว่าที่คาดไว้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการที่กองทุนในประเทศหรือนักลงทุนต่างประเทศเริ่มซื้อกลับ หลังจากขายสุทธิพร้อมกันมาต่อเนื่อง 4 วันติด ในขณะที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวันเริ่มทรงตัว ประกอบกับ Sentiment บวกจากการที่จีนรายงานตัวเลขการส่งออกเดือนมิถุนายนออกมาดีกว่าคาด เพิ่มขึ้น 32% จากที่คาดการณ์ไว้ 23%
“หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่เริ่มทรงตัว ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าสัปดาห์หน้าตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่น่าจะเริ่มลดลงได้ หลังจากที่เริ่มใช้มาตรการล็อกดาวน์แล้ว”
นอกจากนี้การเข้าสู่ช่วงรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ซึ่งจะเริ่มเห็นตั้งแต่สัปดาห์นี้ ทำให้นักลงทุนเริ่มเลือกซื้อหุ้นรายตัวมากขึ้น แต่ด้วยสถานการณ์หลายอย่างที่ยังคาดเดาได้ยาก ทำให้เมื่อตลาดเข้าใกล้ 1,600 จุด อาจจะเริ่มกลับมาตึงตัวอีกครั้ง
ขณะนี้อย่าเพิ่งวางใจตลาดมากนัก เพราะยังมีหลายปัจจัยต้องติดตาม ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด หรือปัจจัยต่างประเทศที่อาจทำให้ตลาดแกว่งได้ง่าย ทั้งนี้ควรเลือกหุ้นที่งบไตรมาส 2 มีแนวโน้มจะออกมาดี เพื่อช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด
โดยกลุ่มหุ้นที่งบไตรมาส 2 น่าจะออกมาดี ได้แก่ กลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ได้แรงหนุนจากกำไรสต๊อกน้ำมัน หลังจากราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้น 11.1% จากไตรมาสก่อน กลุ่มโรงพยาบาลขนาดกลางและขนาดเล็ก ได้แรงหนุนจากรายได้ให้บริการตรวจโควิด กลุ่มส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ด้าน กรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยและบริการการลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน มองว่า การฟื้นตัวของตลาดในวันนี้แรงกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งเป็นผลจากแรงเก็งกำไรจาก 2 ปัจจัยคือ ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่ที่เริ่มทรงตัว และมาตรการเยียวยาของภาครัฐที่ออกมา
อย่างไรก็ตามตัวแปรหลักที่ต้องติดตามคือตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน ซึ่งต้องดูว่าจะลดลงได้มากน้อยเพียงใด เพราะรอบก่อนหน้านี้ที่มีมาตรการควบคุมออกมา แต่หลังจากนั้นตัวเลขผู้ติดเชื้อก็เร่งขึ้น หากเป็นเช่นเดิมหุ้นในกลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศจะยังคงถูกกดดันต่อไป
“พรุ่งนี้ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังมีอัปไซด์จำกัด โดยประเมินแนวต้านที่ 1,574 จุด ส่วนแนวรับบริเวณ 1,540-1,550 จุด ซึ่งชุดตรวจ Rapid Test มีโอกาสจะทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อใหม่สูงขึ้น แต่ในระยะกลางถึงยาวมองว่าจะเป็นบวก เพราะช่วยให้เราเห็นตัวเลขการติดเชื้อจริงมากขึ้น และวางแผนควบคุมได้ดีขึ้น ส่วนคืนนี้ต้องติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ซึ่งจะมีผลต่อการแถลงของประธาน Fed ในช่วงถัดไป”