การประชุมระหว่างประเทศว่าด้วยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ที่กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานว่าด้วยยาเสพติดและอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNODC (United Nations Office on Drugs and Crime) เป็นเจ้าภาพร่วม จัดขึ้น ณ โรงแรม InterContinental กรุงเทพ ระหว่างวันที่ 17-18 ธันวาคม ถือเป็นครั้งแรกของประเทศไทยในการริเริ่มจัดเวทีประชุมนานาชาติอย่างจริงจัง เพื่อแบ่งปันข้อมูลและกำหนดแนวทางดำเนินการแก้ไขปัญหาเครือข่ายหลอกลวงออนไลน์ หรือ Online Scam ที่ตอนนี้ทั่วโลกเห็นตรงกันว่าเป็น ‘ภัยคุกคามระดับโลก’ ที่มีการดำเนินการขยายใหญ่ในระดับ ‘อุตสาหกรรม’ โดยใช้เทคโนโลยีและวิธีการหลอกลวงต่างๆ สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อชีวิตของผู้คนและเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลก
การประชุมครั้งนี้ มีผู้แทนจำนวน 338 คน จาก 58 ประเทศเข้าร่วมการประชุม รวมถึงสหภาพยุโรป, 5 องค์กรระหว่างประเทศ ตลอดจนผู้แทนจากภาคประชาสังคมและภาควิชาการ และมีผู้แทนระดับรัฐมนตรีจาก 9 ประเทศที่เข้าร่วม ได้แก่ เมียนมา, เวียดนาม, สปป.ลาว, อินโดนีเซีย, จีน, อินเดีย, ศรีลังกา, รวันดา และซูดานใต้
โดยสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวในการเปิดประชุมวานนี้ ย้ำถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศ และความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงออนไลน์อย่างทันท่วงที
ในขณะที่ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้กล่าวถ้อยแถลงในห้วงการประชุม ย้ำความสำคัญของการมีระบบธรรมาภิบาลเทคโนโลยีที่ดี เพื่อให้ประชาชนและสังคมสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่ยังมุ่งเน้นการให้ความคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
ซึ่งช่วงค่ำวานนี้ นายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ยังได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานเลี้ยงรับรองอาหารค่ำแก่ผู้ร่วมประชุม โดยกล่าวอย่างชัดเจน ถึงความสำคัญของเจตจำนงทางการเมืองในการต่อต้านเครือข่ายอาชญากรรมหลอกลวงออนไลน์ และยกให้เป็นวาระสำคัญสูงสุดของประเทศไทย พร้อมทั้งยืนยันว่าไม่มีประเทศใดสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้โดยลำพัง ซึ่งต้องร่วมมือกันและส่งเสริมความร่วมมือที่เข้มแข็งระหว่างทุกภาคส่วน
หารือความยุติธรรมคัดกรองเหยื่อ-เส้นทางการเงิน
สำหรับวาระการประชุมครั้งนี้ ดำเนินการในรูปแบบของการหารือเชิงประเด็น (Thematic Discussion) โดยแบ่งออกเป็น 2 หัวข้อ ได้แก่
1.การอำนวยความยุติธรรม ผ่านแนวทางการสืบสวนสอบสวนและการดำเนินคดี
ซึ่งมีผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติของไทย, UNODC, สำนักงานสอบสวนกลางแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FBI, อินเตอร์โพล (INTERPOL) และองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (International Organization for Migration : IOM) ประจำประเทศไทย ร่วมหารือแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการดำเนินกระบวนการยุติธรรมอย่างมีประสิทธิภาพและเคารพสิทธิมนุษยชน ตั้งแต่การสืบสวน การดำเนินคดี และการคุ้มครองผู้เสียหายภายใต้แนวทางการยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง ซึ่งหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญ คือการคัดกรองผู้เสียหายออกจากผู้กระทำความผิด และการให้ความช่วยเหลือด้านกงสุลแก่ผู้เสียหายชาวต่างชาติอย่างทันท่วงที
2.การจัดการเส้นทางการเงิน และการรู้เท่าทัน ตลอดจนการรับมือกับการกระทำผิดโดยเทคโนโลยี โดยมีผู้แทนจากภาคเอกชนในสาขาเทคโนโลยี ทั้งบริษัท Meta ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, WhatsApp, Messenger, Instagram และจากบริษัท Chainalysis ตลอดจนผู้แทนจากเครือข่าย Global Anti-Scam Alliance และผู้แทนจากสหภาพยุโรปนะครับ ซึ่งได้มีการหารือเกี่ยวกับบทบาทของภาคเอกชนและภาคการเงิน ในการป้องกันการหลอกลวงออนไลน์ โดยมีการพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางในการเตรียมความพร้อมด้านเทคโนโลยีเพื่อป้องกันและปราบปรามการดำเนินการของเครือข่ายหลอกลวงออนไลน์ เช่น การฟอกเงินผ่านสินทรัพย์ดิจิทัล บทบาทของสื่อสังคมออนไลน์ในด้านการตัดทอนและป้องกัน รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ของสังคม
แถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ กับแผนดำเนินการ 26 ข้อ
สำหรับผลลัพธ์ที่ได้จากการประชุมนั้น วิชาวัฒน์ อิศรภักดี ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยว่า ที่ประชุมได้รับรอง ‘แถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ โดยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ค.ศ. 2025 (2025 Bangkok Joint Statement by the Global Partnership against Online Scams)’ โดยมีประเทศที่ร่วมให้การสนับสนุน ได้แก่ เปรู บังกลาเทศ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนปาล และภาคเอกชนคือบริษัท TikTok
ซึ่งสะท้อนถึงฉันทามติที่มีร่วมกันว่า ทุกประเทศและทุกภาคส่วนต้องเร่งความร่วมมือที่เป็นรูปธรรมในการปฏิบัติ เพื่อให้เท่าทันต่อเครือข่ายอาชญากรรมรูปแบบใหม่นี้ ที่มีการเปลี่ยนรูปแบบอยู่ตลอดเวลา ทั้งโดยการร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลและพยานหลักฐาน โดยเฉพาะหลักฐานดิจิทัล การคุ้มครองผู้เสียหายและการทำงานร่วมกับภาคเอกชนเพื่อป้องกัน การตรวจจับ และการลดการแพร่กระจายของการหลอกลวงอย่างเป็นระบบ
เนื้อหาที่สำคัญของ ‘แถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ’ มีการยืนยันหลักการในบทบัญญัติอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร รวมทั้งพิธีสารว่าด้วยการป้องกัน ปราบปราม และลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก และพิธีสารว่าด้วยการ ต่อต้านการลักลอบนำคนเข้าเมืองทางบก ทางทะเล และทางอากาศ
ขณะที่เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนและความจำเป็นที่รัฐต่าง ๆ รวมถึงประเทศต้นทางและประเทศทางผ่านของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ที่ถูกบังคับให้กระทำอาชญากรรมผิดกฎหมายในศูนย์หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ตลอดจนประเทศที่เป็นที่ตั้งของศูนย์หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต และประเทศที่มีประชาชนถูกหลอกฉ้อโกง ที่จะต้องให้ความร่วมมือทั้งภายในประเทศและข้ามพรมแดนเพื่อปราบปรามการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตและอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้อง
พร้อมทั้งประกาศคำมั่นที่จะดำเนินการใน 26 ข้อ ครอบคลุม 5 ประเด็น ได้แก่
ก.ความมุ่งมั่นทางการเมืองและธรรมาภิบาล
1. กำหนดให้การต่อต้านการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตเป็นประเด็นที่มีความสำคัญเป็นลำดับต้น และ จัดสรรทรัพยากรที่เพียงพอต่อการสนับสนุนการปราบปรามการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
2. เสริมสร้างความเข้มแข็ง ในการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพตามตราสารระหว่างประเทศที่มีอยู่ รวมถึงอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร พิธีสารว่าด้วยการป้องกันปราบปราม และลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็ก และพิธีสารว่าด้วยการต่อต้านการลักลอบนำคนเข้าเมืองทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ซึ่งเสริมอนุสัญญาฯ และส่งเสริมการลงนามและเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์
3. พัฒนาและเสริมสร้างความเข็มแข็ง ของกฎหมายภายในประเทศ และการตอบสนองขององค์กรและการปฏิบัติการระดับชาติ ให้สอดคล้องรองรับพันธกรณีระหว่างประเทศของแต่ละประเทศสมาชิก เพื่อป้องกันลดผลกระทบ และปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติในรูปแบบต่าง ๆ ที่หลากหลาย โดยเฉพาะอาชญากรรมที่เชื่อมโยงกับการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต โดยอาศัยแนวทางการมีส่วนร่วมของทุกส่วนของภาครัฐและทุกส่วนของ สังคม
ข.การบังคับใช้กฎหมาย การสืบสวนสอบสวน และการดำเนินคดี
4. มุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีกับเครือข่ายการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ผ่านการใช้กลไกระดับทวิภาคี ภูมิภาค และพหุภาคี
5. รับทราบว่าจะมีการแบ่งปันข้อมูล ข่าวกรอง และพยานหลักฐานอย่างทันท่วงที เพื่อสนับสนุนการสกัด กั้น การป้องกัน และการดำเนินคดีต่อการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตและอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องอย่างมีประสิทธิภาพ
6. เสริมสร้างความเข้มแข็งในการสืบสวนอาชญากรรมไซเบอร์ การต่อต้านการฟอกเงิน และขีดความสามารถด้านนิติวิทยาศาสตร์ทางดิจิทัล ผ่านการฝึกอบรมที่กำหนดเป้าหมายเฉพาะด้าน การจัดทำกระบวนการทำงานที่มีมาตรฐาน และการปรับปรุงเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าพยานหลักฐานทางดิจิทัลในคดีการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตได้รับการเก็บรวบรวม รักษา และวิเคราะห์อย่างมีประสิทธิภาพ
7. รับรองการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพตามข้อกำหนดด้านความโปร่งใสของการถือครองผลประโยชน์ที่แท้จริง และกฎระเบียบ และการกำกับดูแลผู้ให้บริการสินทรัพย์เสมือน
8. รับรองการใช้ข่าวกรองทางการเงินและกลไกการยึดทรัพย์สินทั้งในรูปแบบทางการและไม่เป็นทางการรวมถึงผ่านเครือข่ายระดับภูมิภาคและความเป็นหุ้นส่วนความร่วมมือที่มีอยู่ เพื่อให้หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและดำเนินคดีสามารถระบุ ติดตามเส้นทาง และกู้คืนเงินรายได้ข้ามพรมแดนจากอาชญากรรมที่เกี่ยวกับศูนย์หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตได้
9. ส่งเสริมการประเมินอย่างละเอียดเกี่ยวกับความเสี่ยงของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง กับอาชญากรรมที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร และการนำโครงสร้างทางธุรกิจพาณิชย์ไปใช้ในทางที่ผิดเพื่อประโยชน์ของปฏิบัติการหลอกลวงต่างๆ
10. เสริมสร้างขีดความสามารถของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย โดยเฉพาะผ่านการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความท้าทาย และแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศในการปราบปรามการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต รวมถึงสร้าง ขีดความสามารถด้านการสืบสวนสอบสวนให้กับเจ้าหน้าที่ด่านหน้าในประเทศสมาชิก
11. ดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดจากการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตและอาชญากรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้อาชญากรที่ผิดได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรม
12. จัดทำขั้นตอนมาตรฐานการปฏิบัติตามสำหรับการต่อต้านการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต เพื่อเป็นแนวทางให้แก่ประเทศสมาชิกหุ้นส่วนระดับโลก ในการปราบปรามการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตอย่างเป็นระบบและครอบคลุม
13. พิจารณาจัดตั้งคณะงานเฉพาะกิจในระดับทวิภาคี ระดับภูมิภาค หรือระหว่างภูมิภาค ทำหน้าที่ปราบปรามการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต โดยประกอบด้วยเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของแต่ละประเทศ รวมถึงหน่วยปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ หน่วยข่าวกรองทางการเงิน และสายงานผู้บังคับบัญชาเพื่อให้มีการประสานงานกันอย่างทันท่วงที่และทำงานร่วมกันในการทำลายและถอนรากของศูนย์หลอกลวงทาง อินเทอร์เน็ตอีกทางเพื่อช่วยเหลือผู้เสียหาย
ค.การคุ้มครองผู้เสียหาย
14. ใช้ประโยชน์จากการแลกเปลี่ยนข่าวกรองและพยานหลักฐาน และเพิ่มขีดความสามารถของเจ้าหน้าที่ด่านหน้าในการคัดกรองแยกแยะระหว่างผู้กระทำผิดกับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในบริบทของการหลอกลวงทาง อินเทอร์เน็ต พร้อมทั้งจัดการกับอุปสรรคที่บั่นทอนความพยายามในการระบุตัวผู้เสียหายที่ถูกต้อง
15. ใช้ แนวทางการยึดผู้เสียหายเป็นศูนย์กลางตลอดทั้งขั้นตอน ตั้งแต่ขั้นตอนของการคัดกรองและการระบุตัวผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ คุ้มครอง ส่งกลับประเทศต้นทาง และฟื้นฟูเยียวยา ไปจนถึงมาตรการโดยผลักดันสิทธิและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้เสียหาย
16. รณรงค์และเพิ่มความพยายาม ในการดำเนินการตามหลักการไม่ลงโทษสำหรับผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ เพื่อที่ผู้เสียหายจะไม่ถูกลงโทษจากการกระทำอันเป็นผลของการถูกบังคับค้ามนุษย์
17. เรียกร้องให้ประเทศต้นทาง ประเทศทางผ่าน และประเทศปลายทางของผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ในศูนย์หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต ประสานงานอย่างใกล้ชิดและทันท่วงที เพื่อให้ความช่วยเหลือทางกงสุลดำเนินการคัดกรอง ระบุตัว ส่งต่อ และส่งผู้เสียหายกลับประเทศต้นทาง อีกทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกรณี/คดีการค้ามนุษย์ภายหลังการดำเนินการส่งกลับ เพื่อประโยชน์การดำเนินคดีและการป้องกัน
ง.การสร้างความตระหนักรู้ของสาธารณชนและการป้องกันการหลอกลวงทาง
18. ส่งเสริมการรณรงค์การสร้างความตระหนักรู้ในระดับโลกของภาคส่วนที่หลากหลาย ผ่านการมีส่วน ร่วมของสื่อสังคมออนไลน์และภาคเอกชน เช่น ผู้ให้บริการดิจิทัลและอินเทอร์เน็ต สถาบันการเงิน ผู้ให้บริการ อินเตอร์เน็ตและสินทรัพย์เสมือน และผู้ประกอบการโทรคมนาคมที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันมิให้บุคคลถูกหลอกลวงฉ้อโกงและตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ในศูนย์หลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
19. เสริมสร้างระบบการรายงานในระดับชาติและระดับภูมิภาค โดยการพัฒนาระบบการรายงานที่เข้าถึงได้ และปรับปรุงขีดความสามารถในการวิเคราะห์เพื่อให้สามารถดำเนินการต่อกรณีและรายงานต่าง ๆ เพื่อให้สามารถตรวจจับ ส่งต่อ และสืบสวนสอบสวนการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตได้อย่างทันท่วงที่ ผ่านการทำงานร่วมกับหุ้นส่วน ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง
20. ทำงานร่วมอย่างใกล้ชิดกับภาคเอกชนรวมถึงผู้ให้บริการทางดิจิทัลหรือออนไลน์ เพื่อปราบปรามการหลอกลวงทางอินเตอร์เน็ต โดยส่งเสริมการพัฒนาการตรวจจับกิจกรรมที่น่าสงสัย การกลั่นกรองเนื้อหาการแบ่งปันข้อมูลและหลักฐานทางดิจิทัล
จ.ความร่วมมือกับหุ้นส่วนภายในประเทศและข้ามพรมแดน
21. จัดตั้งกลุ่มพันธ์มิตรหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตประกอบด้วยรัฐบาล ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และหน่วยงานอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนความพยายาม ร่วมกันในการต่อสู้กับการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
22. ส่งเสริมให้กรอบการประชุมระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องในโอกาสต่อไปในอนาคตร่วมกันใช้ประโยชน์ในการสานต่อพลวัต ย้ำข้อความและสาระสำคัญ และรณรงค์หลักการต่าง ๆ ที่มีการระบุโดยหุ้นส่วนระดับโลกเพื่อต่อต้านอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต รวมทั้งเรียกร้องให้มีการพัฒนายุทธศาสตร์และนโยบายที่เกี่ยวข้องเพื่อต่อต้านการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
23. จัดตั้งจุดประสานงานระดับชาติเป็นการเฉพาะสำหรับการป้องกันการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต, การดำเนินคดีกับกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต, การคุ้มครองผู้เสียหายจากการหลอกลวงฉ้อโกงและการค้ามนุษย์ และนโยบายและความร่วมมือเพื่อให้เกิดการประสานงานความร่วมมือระหว่างประเทศในการตอบสนองต่อการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็ว
24. สร้างและเสริมสร้างความเข้มแข็งของหน่วยงานหรือกลุ่มงานพิเศษระดับประเทศ เพื่อช่วยในการตรวจจับ ตัดตอน สืบสวนสอบสวนและปราบปราม อีกทั้งดำเนินคดีกับกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
25. ดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการติดตามและวิเคราะห์แนวโน้ม ประเภท รูปแบบ รวมถึงรูปแบบพฤติกรรมทางการเงิน และผลกระทบของมาตรการต่อต้านปฏิบัติการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ตต่าง ๆ และ ส่งเสริมการแบ่งปันผลการวิเคราะห์ดังกล่าวผ่านหุ้นส่วนระดับโลกๆ
26. ส่งเสริมให้เกิดความก้าวหน้ายิ่งขึ้นของความพยายามร่วมกันของหุ้นส่วนระดับโลกๆ ด้วยการ พิจารณาเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมหรือกิจกรรมระหว่างประเทศต่างๆ อันจะมีส่วนช่วยในการขจัดการหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต
ซึ่งที่ประชุมยังมีการกำหนดแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐาน (Standard Operating Procedures) สำหรับการแก้ไขปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ เช่นการแต่งตั้งผู้ประสานงานระดับประเทศ หรือ National Focal Point ในเรื่องการป้องกัน การดำเนินคดี การคุ้มครอง และความเป็นหุ้นส่วน และหลังจากนี้อาจจะมีการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจหรือ task force ระหว่างประเทศเพื่อต่อต้านขบวนการหลอกลวงออนไลน์
นอกจากนี้เพื่อต่อยอด ในแถลงการณ์ร่วมกรุงเทพฯ ยังมีการเชิญชวนให้นานาประเทศและภาคีเครือข่ายต่างๆ พิจารณาจัดกิจกรรมที่จะช่วยสร้างความตระหนักรู้ในวงกว้างด้วย
ไทยชูบทบาทนำ จับมือโลกจัดการปัญหาสแกมเมอร์
ทั้งนี้ วิชาวัฒน์ ชี้ว่า “การเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมในครั้งนี้เป็นโอกาสดีที่ไทยได้แสดงบทบาทนำเพื่อส่งเสริมการปราบปรามอาชญากรรมหลอกลวงทางอินเทอร์เน็ต และกระชับความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อแก้ไขปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ที่ครอบคลุมหลายมิติ ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายประเทศและหลายภาคส่วน เพื่อให้สามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับเสียงสะท้อนจากนานาชาตินั้น อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ (UN) ส่งข้อความวิดีโอเผยแพร่ในระหว่างเปิดประชุมวานนี้ โดยชื่นชมความร่วมมือระดับโลก ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของการต่อต้านการหลอกลวงทางออนไลน์ และขอบคุณรัฐบาลไทยและ UNODC ที่ร่วมเป็นเจ้าภาพจัดงานสำคัญครั้งนี้
ขณะที่ โวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) ชี้ว่าการประชุมครั้งนี้เป็นโอกาสในการหารือถึงเครื่องมือทางกฎหมายและเชิงนโยบายที่เป็นไปได้ทั้งหมด รวมถึงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อยุติเครือข่ายการแสวงหาประโยชน์และการละเมิดอันเลวร้ายจากเครือข่ายหลอกลวงทางออนไลน์
ทาด้าน เลอ อัน ตวน (Le Anh Tuan) ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามที่เข้าร่วมการประชุม ให้สัมภาษณ์สื่อเวียดนามที่ติดตามทำข่าวการประชุมครั้งนี้ โดยกล่าวว่า “ความพยายามในการต่อสู้กับอาชญากรรมไซเบอร์ต้องยึดมั่นในหลักการพื้นฐานของกฎหมายระหว่างประเทศ รวมถึงการเคารพในอธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และการระงับข้อพิพาทอย่างสันติ”
พร้อมกันนี้เขายังกระตุ้นให้ประเทศต่างๆ ลงนามและให้สัตยาบันในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์ (United Nations Convention against Cybercrime) ที่ประเทศไทยได้ลงนามไปเมื่อวันที่ 25 ตุลาคม ที่ผ่านมา โดยปัจจุบันมีทั้งสิ้น 72 ประเทศที่ร่วมลงนาม


