×

บทเรียนจากอุทกภัยที่หาดใหญ่ ในมุมมองของธุรกิจประกันภัย

01.12.2025
  • LOADING...
บทเรียนจากอุทกภัยที่ หาดใหญ่ ในมุมมองของธุรกิจประกันภัย

เหตุการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ที่หาดใหญ่ในปี 2568 นี้ เป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนอันชัดเจนว่า โลกในยุคโลกร้อนกำลังก้าวเข้าสู่สภาวะที่บริษัทประกันภัยไม่อาจประเมินความเสี่ยงแบบเดิมได้อีกต่อไป การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลกส่งผลโดยตรงให้ความถี่ของภัยพิบัติต่างๆ เพิ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม พายุ แผ่นดินไหว หรือภัยธรรมชาติรูปแบบใหม่ที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม สิ่งนี้ทำให้แบบจำลองความเสี่ยงที่เคยใช้ได้ผลในอดีตเริ่มไม่เพียงพอ เพราะ frequency ของเหตุการณ์ CAT (Catastrophe) เพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงเกินกว่าประวัติศาสตร์จะรองรับ การคำนวณเบี้ยประกันภัยจึงต้องพึ่งพาแบบจำลองเชิงสถิติและข้อมูลสภาพภูมิอากาศแบบเรียลไทม์มากขึ้น เพื่อสะท้อนระดับความเสี่ยงที่แท้จริงและรองรับความผันผวนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

แม้ความถี่จะเพิ่มสูงขึ้น แต่ในอีกด้านหนึ่ง ความรุนแรงของเหตุการณ์ (severity) สามารถบรรเทาหรือจำกัดความเสียหายได้ หากภาครัฐหรือสังคมมีระบบบริหารจัดการที่ดี มีการเตรียมพร้อมล่วงหน้า และมีเทคโนโลยีช่วยสนับสนุน เช่น ระบบเตือนภัยล่วงหน้า (Early Warning System: EWS) การจัดการน้ำแบบองค์รวม การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในระดับพื้นที่และระดับประเทศ รวมถึงขั้นตอนการอพยพที่เป็นมาตรฐานสากล สำหรับมุมของนักคณิตศาสตร์ประกันภัย สิ่งเหล่านี้ช่วยลด expected loss และลด tail risk ของเหตุการณ์ CAT ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความเสถียรของบริษัทประกันภัย และการบริหารความเสี่ยงทั้งระบบ บริษัทประกันภัยที่ลงทุนในเทคโนโลยี EWS หรือร่วมมือกับภาครัฐในการสร้างระบบจัดการความเสี่ยงน่าจะได้ประโยชน์ทั้งเชิงสังคมและเชิงธุรกิจ เพราะช่วยลดความรุนแรงของเหตุการณ์ในอนาคตได้จริง

 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีระบบช่วยลดความรุนแรง แต่ความจริงอีกด้านคือ เบี้ยประกันภัยในอนาคตหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะต้องเพิ่มสูงขึ้น จากทั้งความถี่ที่มากขึ้นและความรุนแรงที่ยังสูงอยู่ในหลายพื้นที่ ค่าเบี้ยที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่เพียงเพราะบริษัทต้องคุ้มครองความเสี่ยงที่ใหญ่ขึ้น แต่ยังรวมถึงต้นทุนประกันภัยต่อ (Reinsurance) ที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นทั่วโลก หลังจากเหตุการณ์ CAT หลายประเทศเกิดถี่ขึ้นพร้อมกัน ทำให้ reinsurer ต้องปรับราคาให้สอดคล้องกับความเสี่ยง ส่วนของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยนั้น ต้องสะท้อนทั้งความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นและสถานการณ์ตลาดประกันภัยต่อในแบบจำลองราคา (pricing model) รวมถึงต้องประเมินภาระหนี้สินตามมาตรฐานบัญชีใหม่ๆ เช่น TFRS 17 ที่ต้องตั้ง “ความเสี่ยง” เป็นตัวเงินอย่างชัดเจนผ่าน Risk Adjustment ซึ่งยิ่งทำให้ต้นทุนของกรมธรรม์ที่เกี่ยวกับภัยธรรมชาติสูงขึ้นตามไปด้วย

 

เมื่อเปรียบเทียบความเสียหายของอุทกภัยรอบนี้กับเหตุการณ์แผ่นดินไหวช่วงต้นปี 2568 จะพบว่าผลกระทบแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แผ่นดินไหวเกิดขึ้นรวดเร็วและกระทบเฉพาะอาคารสูงหรือโครงสร้างบางประเภท ขณะที่น้ำท่วมครั้งนี้ลากยาวหลายวันและกินพื้นที่กว้าง ทำให้วงจรของความเสียหายยืดเยื้อ ทั้งต่อบ้านพักอาศัย โรงงาน ร้านค้า ธุรกิจท่องเที่ยว รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานระดับจังหวัด มุมของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงต้องมองว่า severity ของน้ำท่วมครั้งนี้แม้อาจจะไม่รุนแรงแบบเฉียบพลันเหมือนแผ่นดินไหว แต่เป็นภัยที่สร้างผลกระทบสะสมต่อเศรษฐกิจอย่างกว้างขวาง และทำให้ incurred claims มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นเป็นหลายรอบ ทั้งจากการเคลมซ่อมแซมครั้งแรก และความเสียหายต่อเนื่อง เช่น ความชื้น ระบบไฟฟ้าเสียหาย หรือการหยุดดำเนินงานของธุรกิจ (Business Interruption) ซึ่งเป็นความคืบหน้าที่อุตสาหกรรมประกันภัยต้องให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

 

ขณะเดียวกัน เหตุการณ์ซ้ำซ้อนของทั้งแผ่นดินไหวเมื่อต้นปีและน้ำท่วมครั้งนี้ทำให้ความตื่นตัวของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนเริ่มเห็นว่าความเสี่ยงที่เคยคิดว่า “ไม่น่าจะเกิด” กำลังเกิดขึ้นจริง และเกิดถี่กว่าที่คิด ทั้งบ้านเดี่ยว อาคารพาณิชย์ และธุรกิจ SME น่าจะเริ่มมองหาประกันทรัพย์สินและประกันน้ำท่วมมากขึ้น ซึ่งเป็นโอกาสสำคัญของบริษัทประกันภัยในการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ครอบคลุมทั้งไฟไหม้ น้ำท่วม และแผ่นดินไหวในแบบบูรณาการ เพื่อรองรับรูปแบบภัยในยุคสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง การออกแบบผลิตภัณฑ์เช่นนี้ต้องอาศัย actuarial pricing ที่ละเอียดมากขึ้น ใช้ข้อมูลพื้นที่ (location-based risk data) ภาพถ่ายดาวเทียม และข้อมูลฝนรายชั่วโมง เพื่อให้ราคาเหมาะสมกับความเสี่ยงจริงในแต่ละโซน ไม่ใช่ราคาเฉลี่ยทั้งประเทศแบบเดิม

 

ท้ายที่สุด จากในมุมมองส่วนตัวที่มองในภาพรวมแล้ว ความเสียหายจากน้ำท่วมครั้งนี้สำหรับธุรกิจประกันภัยน่าจะสูงกว่าความเสียหายจากแผ่นดินไหว ไม่ใช่เพียงเพราะความเสียหายจากตัวทรัพย์สินเท่านั้น แต่รวมถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ เช่น ธุรกิจท่องเที่ยวที่หยุดชะงัก การขนส่งที่ติดขัด และผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการในวงกว้าง มุมมองนักคณิตศาสตร์ประกันภัยจึงต้องพิจารณาทั้ง direct loss และ indirect loss ซึ่งส่งผลต่อความเสถียรของอุตสาหกรรมในภาพรวม เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นบทเรียนที่ชัดเจนว่าอุตสาหกรรมประกันภัยอาจต้องปรับตัว ไม่ใช่แค่ตั้งราคาตามความเสี่ยงใหม่ แต่อาจต้องเตรียมพร้อมในการเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับจ่ายเคลม มาเป็นผู้ช่วยในการผลักดันการบริหารความเสี่ยงให้กับสังคมในอนาคต ผ่านเทคโนโลยี ข้อมูล และการทำงานเชิงรุกกับภาครัฐและชุมชน เพื่อให้ระบบประกันภัยสามารถรองรับโลกยุคใหม่ที่ภัยพิบัติกำลังมาแรงและถี่ขึ้นกว่าเดิมอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืนในระยะยาวอีกด้วย

 

สามารถอ่านการเคลมภัยพิบัติอื่นๆ ได้ที่: https://www.actuarialbusiness.com/th/knowledge/article13th

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising