เอกภาวิน สุนทราภิชาติ นักกลยุทธ์อาวุโสตลาดหุ้นและตลาดอนุพันธ์ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่า ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของเดือนตุลาคมที่ผ่านมาต่อเนื่องถึงช่วงครึ่งแรกของเดือนธันวาคมปีนี้ หลังจากทราบผลการเลือกตั้งว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ส่งผลให้มีความกังวลในประเด็นของนโยบายการค้าของทรัมป์ที่เคยประกาศไว้ในช่วงหาเสียงว่าจะสร้างผลกระทบต่อการลงทุนในตลาดหุ้น และมีผลกระทบต่อเนื่องให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเปรียบเทียบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง
อีกทั้งมีผลกระทบให้กระแสเงินลงทุนจากต่างชาติ (Fund Flow) ไหลออกจากตลาดหุ้นไทย เนื่องจากความกังวลว่าธนาคารสหรัฐฯ (Fed) จะมีความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้นในการลดดอกเบี้ยนโยบาย
มองข่าวร้าย ‘หุ้นรายตัว’ ซ้ำเติมหุ้นไทย
นอกจากนี้ยังมีประเด็นกดดันจากหุ้นรายตัว เช่น หุ้น บมจ.เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ที่ติด Cash Balance ในช่วงก่อนหน้านี้ รวมถึงหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากการลดค่าไฟฟ้า อีกทั้งล่าสุดวานนี้ (16 ธันวาคม) มีประเด็นของหุ้นในกลุ่มซีพีที่โดนแรงขายออกมา หลังจากที่ บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า หรือ CPAXT ประกาศลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์ Happita ในเครือมูลค่าประมาณ 8 พันล้านบาท ที่เข้ามากดดัน SET Index ให้ปรับตัวลดลงเข้าใกล้ระดับ 1,400 จุด
อย่างไรก็ดี ประเมินว่าหากไม่มีข่าวหรือข้อมูลเชิงลบที่เกิดกับหุ้นรายตัวของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ขนาดใหญ่เกิดขึ้นออกมาเพิ่มเติมเข้ามาอีก ประเมินว่า SET Index มีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือการประชุมดอกเบี้ยของ Fed ซึ่งจะทราบผลการประชุมช่วงเช้าวันพฤหัสที่ 19 ธันวาคมนี้ ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งความเห็นส่วนใหญ่ของตลาดคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
เอกภาวินกล่าวว่า หลังจากดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเข้าใกล้ระดับ 1,400 จุด มองว่าเริ่มมีดาวน์ไซด์ที่จำกัด ถือเป็นจุดที่มีความน่าสนใจในการซื้อสะสมเพื่อลงทุนในระยะกลางและระยะยาว เพื่อรองรับความคาดหวังในปีหน้า ซึ่งภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีหน้ามีโอกาสเห็นการเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้น
อีกทั้งมีโอกาสที่กำไรของ บจ. ปี 2568 จะเห็นการเติบโตในระดับที่ดี ทั้งนี้ ประมาณแนวต้านของ SET Index ในระยะสั้นไว้ที่ระดับ 1,425 จุด กับ 1,430 จุด หาก SET Index สามารถผ่านระดับดังกล่าวได้จะเห็นการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น
มองหุ้น CPAXT-CPALL ลงแรงเป็นโอกาสซื้อลงทุนในระยะยาว
สำหรับวานนี้หุ้นกลุ่มซีพีปรับตัวลดลงแรง โดยราคาหุ้น CPAXT ปรับตัวลดลงแรงถึงระดับ 15% หากมองในแง่ของปัจจัยพื้นฐานมีมุมมองว่าเป็นการปรับตัวลงที่เป็นภาพของ Overreaction โดยการเข้าลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว CPAXT แม้จะต้องมีภาระดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีผลกระทบต่อกำไรบ้าง
“แต่ภาพการลงทุนตามหลักธรรมาภิบาล ตลาดหุ้นไทยอาจมีการลงโทษในหุ้นกลุ่มซีพีค่อนข้างหนัก เพราะถูกมองว่าเป็นรายการที่เข้าไปช่วยอุ้มบริษัทในกลุ่มซีพีกรุ๊ป ซึ่ง CPAXT ทำธุรกิจในกลุ่มค้าปลีก แต่ข้ามไปลงทุนในโครงการอสังหาริมทรัพย์ซึ่งอาจดูแล้วไม่ค่อยเหมาะสมนัก ทำให้ตลาดหุ้นไม่ชอบ ส่งผลกระทบให้หุ้นกลุ่มซีพีลงค่อนข้างแรง”
อย่างไรก็ดี การปรับตัวลดลงแรงของหุ้นกลุ่มซีพี หากมองภาพระยะยาวมองว่าเป็นโอกาสในการลงทุนซื้อสะสมได้ในช่วงที่ราคาปรับตัวรุนแรง แต่ในระยะสั้นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นอาจต้องใช้ระยะเวลาในการสร้างฐาน ในระยะกลางถึงยาวมีความน่าสนใจในการเข้าซื้อทั้งใน CPAXT และ บมจ.ซีพี ออลล์ หรือ CPALL
ลุ้นหุ้นไทยปีหน้าทะยานแตะ 1,650 จุด
คาดว่าในปีหน้าคาดว่า กนง. จะมีการลดดอกเบี้ยลงประมาณ 3 ครั้งจะเป็นภาพบวกต่อหุ้นกลุ่มซีพีที่มีภาระหนี้ที่สูง ซึ่งได้รับประโยชน์จากการลดดอกเบี้ยลงให้มีภาระต้นทุนดอกเบี้ยทางการเงินที่ลดลง ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงาน
เอกภาวินประเมินว่า SET Index ในปี 2568 มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นไปถึงระดับ 1,620 จุด หรือ 1,650 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากหุ้นในกลุ่ม Domestic Play ได้แก่ หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ รวมถึงหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว ที่คาดว่าผลการดำเนินงานในปี 2568 สามารถเติบโตได้ดีตามจำนวนของนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีหน้าที่มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีนี้
โดยเฉพาะหุ้น บมจ.ท่าอากาศยานไทย หรือ AOT และหุ้นในกลุ่มค้าปลีกได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น CPALL ที่จะมาขับเคลื่อนสนับสนุน SET Index โดยมองว่าหุ้นกลุ่ม Domestic Play เป็นหุ้นที่ได้รับผลกระทบที่น้อยจะปัจจัยจากภายนอกประเทศ โดยเฉพาะจากนโยบายการค้าของทรัมป์
ขณะที่นักลงทุนยังคงติดตามนโยบายด้านเศรษฐกิจของทรัมป์ในปีหน้าหลังเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดี ในหลายนโยบายทั้งการลดภาษีว่ามีผลกระทบให้เงินเฟ้อมีความเสี่ยงเร่งตัวขึ้นหรือไม่ รวมถึงอาจมีผลต่อท่าทีของ Fed ในการปรับเปลี่ยนนโยบายดอกเบี้ยให้ลดดอกเบี้ยช้าลงจากเดิมหรือไม่ ซึ่งตามแผนเดิมมีแผนที่จะลดดอกเบี้ยลงหนึ่งครั้งต่อไตรมาส
อีกทั้งติดตามการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันพรุ่งนี้ (18 ธันวาคม) ซึ่งความเห็นส่วนใหญ่ของตลาดคาดว่า กนง. จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม เพื่อรอดูผลลัพธ์ที่มีการลดดอกเบี้ยก่อนหน้านี้ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
“มุมมองของตลาดส่วนใหญ่มองว่า กนง. อาจเก็บกระสุนไว้ยังไม่ลดดอกเบี้ยในการประชุมพรุ่งนี้เพื่อเตรียมไว้ใช้รองรับความผันผวนในปีหน้า โดยเฉพาะจากผลกระทบของนโยบายทางการค้าของสหรัฐฯ ที่จะเข้ามากดดันภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งหลังจากเห็นผลกระทบแล้วค่อยไปลดดอกเบี้ยในช่วงนั้น แต่อินโนเวสท์ เอกซ์ เราก็มองว่ามีโอกาสเหมือนกันที่ในการประชุมวันพรุ่งนี้ที่ กนง. จะลดดอกเบี้ย ซึ่งจะเป็นปัจจัยเซอร์ไพรส์เชิงบวก หากเกิดขึ้นจะช่วยหนุนตลาดหุ้นไทยได้ดี”
ภาพ: motioncenter / Shutterstock