บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ ประเมินปรากฏการณ์ลานีญามีผลกระทบให้เฮอริเคนในสหรัฐอเมริกาส่อยกระดับความรุนแรงขึ้นจากในอดีต เสี่ยงกระทบการผลิตน้ำมันในสหรัฐฯ พร้อมแนะนำลงทุนหุ้นพลังงานที่ได้ประโยชน์
สุทธิชัย คุ้มวรชัย Head of Investment Strategy ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ (InnovestX) ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Morning Wealth ว่าที่ประชุมกลุ่มประเทศ OPEC+ ล่าสุดมีมติให้ขยายระยะเวลาลดกำลังการผลิตลง 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงสิ้นปี 2568 จากข้อตกลงเดิมที่จะหมดอายุในสิ้นปี 2567 อีกทั้งที่ประชุมเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาลดการผลิตโดยสมัครใจกับสมาชิกจำนวน 8 ประเทศอีก 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ไปจนถึงสิ้นไตรมาส 3/67 จากข้อตกลงเดิมที่จะหมดอายุลงในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งสะท้อนว่าจุดยืนของกลุ่ม OPEC+ ต้องการให้ราคาน้ำมันยังคงอยู่ในระดับสูง หลังจากมีการประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันต่อเนื่องยาวนานประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ดี ในที่ประชุมของ OPEC+ เริ่มมีสัญญาณเชิงลบ (Negative) ออกมาด้วย โดยหลังจากมีการขยายการต่ออายุการลดกำลังการผลิต 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันครบระยะเวลา 3 เดือนดังกล่าวแล้ว OPEC+ จะมีการกลับมาทยอยเพิ่มกำลังการผลิตเริ่มตั้งแต่เดือนตุลาคมปีนี้ ต่อเนื่องไปถึงเดือนกันยายน 2568 ซึ่งเดิมองค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) ประเมินว่าการลดกำลังการผลิตในส่วนนี้จะขยายอายุไปถึงสิ้นปี 2567 จึงเป็นปัจจัยกดดันให้ราคาน้ำมันปรับลดลงหลังรับรู้ข่าวดังกล่าว
น้ำมันเสี่ยงปรับฐานระยะสั้น
นอกจากนี้ยังส่งผลให้ตลาดมีความกังวลว่าจะมีกำลังการผลิตน้ำมันใหม่เข้ามาในช่วงไตรมาส 4/67 อีกประมาณ 5 แสนบาร์เรลต่อวัน จึงเป็นปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบทำให้ราคาน้ำมันมีความเสี่ยงจะปรับฐานลดลงในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าราคาน้ำมันอาจไม่ได้ปรับตัวลดลงแรง เนื่องจากการลดกำลังการผลิตในส่วนแรกที่ 3.66 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเดิมกำลังจะสิ้นสุดในปี 2567 ได้มีการขยายอายุการลดการผลิตไปต่อจนถึงสิ้นปี 2568 ส่งผลให้ภาพของราคาน้ำมันในระยะยาวยังมีทิศทางที่ดี
สำหรับปัจจัยที่โลกกำลังจะเข้าสู่ปรากฏการณ์ลานีญา (La Niña) โดยองค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา (NOAA) ประเมินว่าปรากฏการณ์ลานีญามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนนี้ ซึ่งเป็นภาวะที่มีปริมาณน้ำฝนจำนวนมาก สอดคล้องกับกรมอุตุนิยมวิทยาของประเทศออสเตรเลีย รวมถึงฝั่งประเทศไทยหรือจีนตอนใต้ที่มีภาวะฝนตกเร็วกว่าที่ประเมินไว้
อีกทั้งภาวะแล้งจะเริ่มบรรเทาลงตั้งแต่ในไตรมาส 2/67 เป็นต้นไป หลังจากปริมาณน้ำฝนที่ตกเหนือเขื่อนของจีนเริ่มมีปริมาณที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา อีกทั้งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนพลังงานน้ำใน สปป.ลาว จะทำการผลิตไฟฟ้าได้ดีขึ้นในการส่งไฟฟ้าเข้ามาขายยังไทยกับเวียดนาม ช่วยสนับสนุนต่อเนื่องกับธุรกิจโรงไฟฟ้าตั้งแต่กลางปีต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 4/67 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซันของการผลิตน้ำในเขื่อนของภูมิภาค
เฮอริเคนรุนแรงขึ้น เสี่ยงกระทบการผลิตน้ำมัน
ในช่วง 3-5 เดือนข้างหน้านี้ สหรัฐฯ กำลังจะเข้าสู่ช่วงมรสุมคือในช่วงระหว่างเดือนมิถุนายน-พฤศจิกายน ซึ่งมีการประเมินว่าจะมีมรสุมหรือเฮอริเคนมีความเสี่ยงที่จะรุนแรงเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะมีความรุนแรงสุดในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน โดย NOAA มีโอกาสระดับ 85% ที่เฮอริเคนของสหรัฐฯ ในปีนี้มีความรุนแรงมากกว่าปกติ พร้อมคาดว่าในปี 2567 สหรัฐฯ จะมีพายุเกิดขึ้นประมาณ 17-25 ลูกที่มีการตั้งชื่อ มีโอกาสที่จะเปลี่ยนไปเป็นเฮอริเคน จำนวน 8-13 ลูก และมีความเสี่ยงจะยกระดับขึ้นเป็นเฮอริเคนที่มีความรุนแรงประมาณ 4-7 ลูก ซึ่งมีจำนวนสูงกว่าสถิติในอดีตที่ผ่านมา
สุทธิชัยกล่าวต่อว่า ผลกระทบของเฮอริเคนในสหรัฐฯ ดังกล่าวจะเป็นความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาพลังงานในระยะสั้นถึงระยะกลาง หากเฮอริเคนมีการพัดแหล่งผลิตในอ่าวเม็กซิโก เนื่องจากมีการผลิตน้ำมันในพื้นที่ดังกล่าวในปริมาณมากพอสมควร รวมถึงหากพายุมีความรุนแรง พัดเข้าบริเวณชายฝั่งของเท็กซัสและลุยเซียนา ซึ่งเป็นแหล่งที่ตั้งสำคัญของอุตสาหกรรมโรงกลั่นและปิโตรเคมีในสหรัฐฯ หากพายุมีความรุนแรงและมีผลกระทบให้มีการหยุดการผลิตชั่วคราว
อีกทั้งประเมินว่าอาจมีความเสี่ยงจะมีผลกระทบที่รุนแรงในกลุ่มโรงกลั่นของสหรัฐฯ จำนวนมากซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว โดยหากมีความเสียหายเกิดขึ้นจนทำให้โรงกลั่นเสียหาย อาจต้องมีการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นเพื่อนำมาใช้ทดแทน
เปิดทริกลงทุน ‘หุ้นพลังงาน’
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันคาดการณ์ว่าค่าการกลั่น (GRM) ปัจจุบันอยู่ในระดับที่อ่อนแอ (Weak) มาก จึงประเมินว่าจะมี Downside อีกไม่มากนัก อีกทั้งในสหรัฐฯ เริ่มเข้าสู่เทศกาลขับรถท่องเที่ยว (Driving Season) ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการใช้น้ำมันได้ในระยะถัดไป
ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้น ระยะสั้นให้ระมัดระวังการปรับฐานระยะสั้นของราคาน้ำมัน แต่มีมุมมองว่าในระยะกลางถึงระยะยาว OPEC+ ยังมีนโยบายในการควบคุมบริหารทิศทางราคาน้ำมัน ดังนั้นจึงคาดว่าราคาน้ำมันจะไม่อ่อนตัวลดลงไปแรงมาก แต่หากราคาน้ำมันปรับตัวลดลงจะเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นกลุ่มพลังงานธุรกิจต้นน้ำ (Upstream) เพื่อรองรับความกังวลในสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ที่ยังมีอยู่ค่อนข้างมาก
นอกจากนี้ เฮอริเคนที่คาดว่ามีโอกาสจะเกิดขึ้นในช่วง 3-5 เดือนข้างหน้านี้ หลังจาก GRM ปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ต่ำ จึงแนะนำว่าให้หาโอกาสทยอยสะสมหุ้นที่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว โดยในด้านของปัจจัยพื้นฐานมีหุ้นแนะนำคือ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น หรือ BCP
ส่วนหุ้นที่แนะนำให้เทรดดิ้งคือ บมจ.สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง หรือ SPRC กับ บมจ.ไทยออยล์ หรือ TOP เพราะเป็นโรงกลั่นที่มีกำลังการผลิตน้ำมันเบนซินในสัดส่วนที่สูง มีความต้องการในสหรัฐฯ และจากปัจจัยปริมาณน้ำฝนที่สูง แนะนำให้พิจารณาลงทุนหุ้นที่มีการผลิตไฟฟ้าจากเขื่อนพลังน้ำซึ่งมีโอกาสจะมีกำลังผลิตไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2-3 ปีนี้