กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อทั่วไป) เดือนพฤษภาคม 2564 ปรับตัวสูงขึ้น 2.44% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอตัวลงจาก 3.41% ในเดือนก่อนหน้า โดยปัจจัยสำคัญยังคงเป็นราคาพลังงานที่ขยายตัวสูงถึง 24.79% ประกอบกับราคาสินค้าในกลุ่มอาหารสด เช่น เนื้อสุกร สัตว์น้ำ (อาหารทะเล) และผลไม้ ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม มาตรการลดค่ากระแสไฟฟ้า ค่าน้ำประปาของรัฐ และการลดลงของราคาอาหารสดบางชนิด เช่น ข้าวสารเจ้า ข้าวสารเหนียว ไข่ไก่ และผักสด เป็นปัจจัยที่ชะลอมิให้เงินเฟ้อสูงเร็วเกินไป สำหรับสินค้าในหมวดอื่นๆ ยังเคลื่อนไหวในทิศทางที่ปกติ สอดคล้องกับผลผลิตและความต้องการในสถานการณ์ปัจจุบัน
ด้านเงินเฟ้อพื้นฐาน (เมื่อหักอาหารสดและพลังงานออกแล้ว) ขยายตัวร้อยละ 0.49% จากปีก่อนหน้า และปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อนที่ขยายตัว 0.30% ดัชนีราคาผู้บริโภคเมื่อเทียบกับเดือนเมษายน 2564 ลดลง 0.93% (MoM) และเฉลี่ย 5 เดือน (มกราคม-พฤษภาคม) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้น 0.83% (AoA)
วิชานัน นิวาตจินดา รองผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กล่าวว่า เงินเฟ้อที่ขยายตัวในเดือนนี้นอกจากจะมีปัจจัยด้านราคาพลังงานและอาหารสดบางชนิด ซึ่งเป็นปัจจัยด้านอุปทานแล้ว ยังมีปัจจัยด้านอุปสงค์ที่มีสัญญาณแนวโน้มที่ดีอย่างต่อเนื่องและสนับสนุนให้เกิดการบริโภค เช่น การปรับตัวสูงขึ้นของการส่งออก ราคาสินค้าเกษตร และรายได้เกษตรกร รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐที่สนับสนุนให้เกิดการบริโภคเพิ่มขึ้น สะท้อนจากการเพิ่มขึ้นของยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ดัชนีอุปโภคบริโภคภาคเอกชน ยอดจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์และรถจักรยานยนต์ การขยายตัวของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม และอัตราการใช้กำลังการผลิตในหลายสาขาการผลิต
สอดคล้องกับดัชนีราคาผู้ผลิตและดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้น 5.8% (YoY) ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น 10.7% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 ทั้งนี้ ราคาน้ำมันและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน รวมทั้งราคาเหล็ก ยางพารา และคอนกรีต เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดัชนีราคาผู้ผลิตและราคาวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น
สำหรับแนวโน้มเงินเฟ้อในช่วงที่เหลือของปี รองผู้อำนวยการ สนค. คาดว่าเงินเฟ้อยังมีโอกาสขยายตัวต่อเนื่องแต่ในอัตราที่ชะลอตัวลง โดยปัจจัยสำคัญยังคงเป็นราคาพลังงานและอาหารสดบางชนิดที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าปีก่อน ขณะที่สินค้าและบริการอื่นๆ ยังคงเคลื่อนไหวสอดคล้องกับกลไกตลาดในทิศทางปกติ นอกจากนั้นมาตรการของรัฐทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลดค่าครองชีพ ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของเงินเฟ้อในแต่ละช่วงเวลา
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังคงเป็นแรงกดดันและความเสี่ยงต่อเงินเฟ้อของประเทศ ซึ่งจะต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดต่อไป ทั้งนี้ คาดว่าเงินเฟ้อในปี 2564 จะเคลื่อนไหวระหว่าง 0.7-1.7% (ค่ากลางอยู่ที่ +1.2) ซึ่งเป็นอัตราที่น่าจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้อย่างเหมาะสมและต่อเนื่อง