สหรัฐฯ ได้สิทธิ์เข้าถึงนิกเกิลและแร่ยุทธศาสตร์ แลกยกเว้นภาษีสินค้าเกษตรอินโดนีเซีย ปราโบโวเตรียมเยือนวอชิงตันลงนามดีลมกราคม ย้ำข้อตกลงเชิงพาณิชย์-ยุทธศาสตร์ ไม่กระทบอธิปไตย เดินหน้าลดอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี รับข้อกังวลนักลงทุนสหรัฐฯ
รายงานข่าวระบุว่า อินโดนีเซียเปิดเผยว่าได้บรรลุข้อตกลงด้านภาษีกับสหรัฐอเมริกาแล้ว และตั้งเป้าลงนามอย่างเป็นทางการภายในเดือนมกราคมนี้ โดยสหรัฐฯ จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงแร่ธาตุสำคัญของอินโดนีเซีย ขณะที่อินโดนีเซียจะได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าส่งออกหลัก อาทิ น้ำมันปาล์ม กาแฟ และโกโก้
แอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจของอินโดนีเซีย กล่าวว่า อินโดนีเซียและสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงว่าด้วยการยกเว้นภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าสำคัญบางรายการของอินโดนีเซีย โดยทั้งสองฝ่ายมีแผนจะลงนามภายในสิ้นเดือนมกราคมนี้
ฮาร์ตาร์โตกล่าวภายหลังการหารือกับนายเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ ว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือการปกป้องผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย และเราได้หารือในประเด็นที่มีความสำคัญต่อทั้งอินโดนีเซียและสหรัฐฯ”
เขาระบุอีกว่า อินโดนีเซียได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากรเป็นกรณีพิเศษสำหรับสินค้าส่งออกหลักหลายรายการ ได้แก่ น้ำมันปาล์ม กาแฟ โกโก้ และชา ขณะที่ในทางกลับกัน สหรัฐฯ จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าถึงแร่ธาตุสำคัญของอินโดนีเซีย ซึ่งสะท้อนถึงความสนใจของสหรัฐฯในการเสริมสร้างความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทาน
โดยอินโดนีเซียถือเป็นผู้ผลิตนิกเกิลรายใหญ่ที่สุดของโลก ซึ่งแร่ชนิดนี้เป็นวัตถุดิบสำคัญสำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังเป็นผู้ผลิตทองแดง บ็อกไซต์ และดีบุกรายใหญ่ด้วย
ฮาร์ตาร์โตกล่าวเพิ่มเติมว่า ทีมงานด้านเทคนิคจากทั้งสองประเทศจะดำเนินการสรุปถ้อยคำในข้อตกลง รวมถึงการตรวจสอบทางกฎหมายและการปรับแก้เอกสาร ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณหนึ่งสัปดาห์ โดยจะดำเนินการระหว่างวันที่ 12-19 มกราคม 2569
เขากล่าวว่า ภายในสิ้นเดือนมกราคม ประธานาธิบดีปราโบโว สุเบียนโต ของอินโดนีเซีย มีกำหนดเดินทางไปกรุงวอชิงตัน เพื่อร่วมลงนามในข้อตกลงกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ โดย “ฝ่ายสหรัฐฯ กำลังจัดเตรียมช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการพบปะของผู้นำทั้งสอง”
ทั้งนี้ ข้อตกลงดังกล่าวพัฒนามาจากความตกลงก่อนหน้านี้ที่บรรลุในเดือนกรกฎาคม ซึ่งสหรัฐฯ ตกลงลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากอินโดนีเซียลงเหลือ 19% จากเดิมที่เคยขู่จะเรียกเก็บในอัตรา 32%
ฮาร์ตาร์โตกล่าวว่า ข้อตกลงนี้เปิดโอกาสให้สินค้าจากสหรัฐฯ เข้าสู่ตลาดอินโดนีเซีย ขณะเดียวกันก็ขยายโอกาสในการเข้าถึงตลาดสหรัฐฯ ของอินโดนีเซียด้วย
เขายังปฏิเสธข้อเสนอแนะที่ว่า อินโดนีเซียอาจยอมรับเงื่อนไขลักษณะพิเศษเช่นเดียวกับที่มาเลเซียและกัมพูชาตกลงกับสหรัฐฯ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการป้องกันไม่ให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำข้อตกลงแยกต่างหากกับจีน และก่อให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการละเมิดอธิปไตยของชาติ
“ข้อตกลงนี้มีทั้งมิติทางการค้าและเชิงยุทธศาสตร์ และเป็นประโยชน์ร่วมกันต่อเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ” ฮาร์ตาร์โตกล่าว
ในประเด็นอุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี ฮาร์ตาร์โตระบุว่า อินโดนีเซียจะเดินหน้าปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างถึงการจัดตั้งคณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อแก้ไขอุปสรรคด้านกฎระเบียบและการบริหารที่นักลงทุนเผชิญ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลได้เปิดช่องทางการรายงานเฉพาะภายใต้คณะทำงานดังกล่าว เพื่อเร่งรัดการประสานงานระหว่างกระทรวงและหน่วยงานของรัฐอื่นๆ พร้อมเปิดทางนักธุรกิจสหรัฐฯ
ทั้งนี้ อุปสรรคที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาษีการค้าเป็นอีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่สหรัฐฯ หยิบยกขึ้นมาในการเจรจากับอินโดนีเซีย โดยสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ระบุว่า ความไม่แน่นอนทางกฎหมายที่ยังคงมีอยู่ แนวคิดชาตินิยมทางเศรษฐกิจ และอิทธิพลที่มากเกินไปของกลุ่มผลประโยชน์ทางธุรกิจในประเทศ เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบรรลุข้อตกลงกับอินโดนีเซีย
USTR ยังตั้งข้อสังเกตว่า กฎระเบียบของอินโดนีเซียมักกำหนดให้บริษัทต่างชาติต้องร่วมมือกับบริษัทในท้องถิ่น และจัดหาสินค้าและบริการจากภายในประเทศ โดยภาคส่วนที่นักลงทุนสหรัฐฯ แสดงความกังวลเป็นพิเศษ ได้แก่ พลังงาน เหมืองแร่ และโทรคมนาคม
ภาพ: Global Images Ukraine/Getty image
อ้างอิง:


