×

วิกฤตโควิด-19 ในอินเดียไม่ใช่แค่เรื่องในประเทศ แต่เป็นปัญหาที่ทั่วโลกต้องร่วมมือกัน

โดย THE STANDARD TEAM
30.04.2021
  • LOADING...
วิกฤตโควิด-19 ในอินเดียไม่ใช่แค่เรื่องในประเทศ แต่เป็นปัญหาที่ทั่วโลกต้องร่วมมือกัน

HIGHLIGHTS

5 mins. read
  • ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ยิ่งไวรัสแพร่กระจายมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเกิดการกลายพันธุ์และสร้างสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่สามารถต้านทานวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันได้มากขึ้น ซึ่งจะบ่อนทำลายความก้าวหน้าของประเทศอื่นๆ ในการควบคุมการแพร่ระบาด 
  • หากเชื้อไวรัสแพร่กระจายจากอินเดียไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีปริมาณวัคซีนต่ำและระบบสุขภาพที่อ่อนแอ เราอาจได้เห็นภาพแบบที่เกิดขึ้นในอินเดียไปฉายซ้ำในประเทศอื่นๆ
  • อินเดียถือเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในโครงการ COVAX ซึ่งเป็นโครงการแจกจ่ายวัคซีนระดับโลกที่ให้ส่วนลดหรือมอบวัคซีนฟรีแก่ประเทศที่มีรายได้ต่ำ ดังนั้นจึงอาจส่งผลกระทบไปถึงโครงการฉีดวัคซีนทั่วโลกด้วย

ขณะที่ในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักร หลายคนได้กลับไปเจอหน้าและกอดบุคคลอันเป็นที่รักอีกครั้ง หลังจากที่ต้องแยกจากกันมานานเพราะโควิด-19 ตัดภาพมาที่อินเดีย หลายครอบครัวกลับต้องพลัดพราก เมื่อไวรัสร้ายคร่าชีวิตญาติมิตรของพวกเขา

 

ผู้ป่วยโควิด-19 ในอินเดียถูกโรงพยาบาลปฏิเสธ เพราะไม่มีเตียงและออกซิเจน ท่ามกลางจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ในแต่ละวัน ก่อให้เกิดวิกฤตระดับชาติ ตลอดจนส่งผลสะท้อนกลับไปทั่วโลก

 

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า ยิ่งไวรัสแพร่กระจายมากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเกิดการกลายพันธุ์และสร้างสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่สามารถต้านทานวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นการบ่อนทำลายความก้าวหน้าของประเทศอื่นๆ ในการควบคุมการแพร่ระบาด 

 

“ถ้าเราไม่ช่วยอินเดีย ผมกังวลว่าจำนวนผู้ติดเชื้ออาจปะทุขึ้นทั่วโลก” ดร.อาชิช จา คณบดีคณะสาธารณสุขศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยบราวน์ กล่าว

 

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่า เหตุใดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในอินเดียจึงเป็นปัญหาระดับโลก ที่ประเทศต่างๆ ต้องประสานความร่วมมือในการตอบสนองต่อวิกฤตครั้งนี้

 

ทั้งนี้มีรายงานว่า เครื่องผลิตออกซิเจนซึ่งเป็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่บีบอัดออกซิเจนจากอากาศ เดินทางจากสหรัฐฯ ไปถึงอินเดียเมื่อต้นสัปดาห์นี้ และในวันพุธที่ผ่านมา สหราชอาณาจักร อิตาลี และเยอรมนี ได้ให้คำมั่นที่จะจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้แก่อินเดียมากขึ้น ในขณะที่เครื่องบินของรัสเซียบินออกจากเมืองซูคอฟสกี เพื่อขนส่งยาและเครื่องช่วยหายใจไปยังกรุงนิวเดลี เมืองหลวงของอินเดีย

 

แม้สิ่งสำคัญเร่งด่วนลำดับแรกคือการช่วยชีวิตผู้ป่วย แต่ขณะเดียวกัน การฉีดวัคซีนในประเทศก็ถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นกันที่จะช่วยหยุดยั้งการแพร่กระจายของไวรัส อย่างไรก็ตาม แม้อินเดียจะเป็นที่ตั้งของบริษัทผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลก แต่ถึงกระนั้นปริมาณก็ยังไม่เพียงพอ และไม่มีวิธีที่จะผลิตวัคซีนเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

 

ด้านประเทศตะวันตกถูกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการกักตุนวัคซีน จนทำให้ประเทศยากจนหลายประเทศยังไม่สามารถเริ่มต้นการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนของตนได้ อย่างไรก็ดี เมื่อวันพุธที่ผ่านมา แมตต์ แฮนค็อก รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของอังกฤษ เปิดเผยว่า สหราชอาณาจักรเองก็ไม่มีวัคซีนสำรองที่จะส่งให้ประเทศอื่นๆ ในเวลานี้เช่นกัน

 

ฝ่ายประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันอังคารว่า เขาได้พูดคุยกับนายกรัฐมนตรี นเรนทรา โมดี และยืนยันว่าสหรัฐฯ ตั้งใจที่จะส่งวัคซีนโควิด-19 ไปให้อินเดีย โดยสหรัฐฯ ประกาศเมื่อต้นสัปดาห์นี้ว่า จะแบ่งปันวัคซีน AstraZeneca จำนวน 60 ล้านโดสให้กับประเทศอื่นๆ แต่ไม่ได้ระบุว่าประเทศใดหรือเมื่อใด ขณะที่ทำเนียบขาวเตือนว่าการส่งมอบวัคซีนอาจใช้เวลานานหลายเดือน

 

นพ.แอนโทนี เฟาซี ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวว่า การกระจายวัคซีนอย่างเท่าเทียมกันทั่วโลกเป็นสิ่งสำคัญ

 

“เพราะเราทุกคนอยู่ในสถานการณ์นี้ด้วยกัน มันคือโลกที่เชื่อมโยงถึงกัน และเป็นความรับผิดชอบที่ประเทศต่างๆ มีต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นประเทศที่ร่ำรวย และคุณกำลังติดต่อกับประเทศที่ไม่มีทรัพยากรหรือกำลังความสามารถในแบบที่คุณมี” นพ.เฟาซีกล่าวกับ The Guardian 

 

ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า หากไม่สามารถควบคุมการระบาดในอินเดีย และเชื้อไวรัสได้แพร่กระจายจากอินเดียไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีปริมาณวัคซีนต่ำและระบบสุขภาพที่อ่อนแอ เราอาจได้เห็นภาพแบบที่เกิดขึ้นในอินเดียเวลานี้ไปฉายซ้ำในประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากไวรัสสายพันธุ์ใหม่แพร่กระจายได้ง่ายและเร็วขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น เนื่องจากอินเดียมีบทบาทสำคัญในการผลิตและแจกจ่ายวัคซีนสำหรับประเทศอื่นๆ การที่เราไม่สามารถหยุดยั้งการแพร่ระบาดในอินเดีย จึงอาจส่งผลกระทบไปถึงโครงการฉีดวัคซีนทั่วโลกอีกด้วย

 

ไวรัสโคโรนาถูกตรวจพบครั้งแรกในเมืองอู่ฮั่นของจีน และได้แพร่กระจายไปทั่วโลกจากคนสู่คนในหลายกรณี ซึ่งทำให้เกิดการกลายพันธุ์เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่

 

ในเดือนธันวาคมปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ได้ตรวจพบสายพันธุ์ใหม่ที่มีชื่อว่า B.1.617 ในอินเดีย แต่ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าสายพันธุ์นี้เป็นต้นตอที่ทำให้เกิดการระบาดในท้องถิ่นในขณะนี้หรือไม่ 

 

อนุรัก อกราวาล ผู้อำนวยการสถาบันจีโนมิกส์และชีววิทยาบูรณาการ กล่าวเมื่อวันศุกร์ที่แล้วว่า มีความสัมพันธ์กันระหว่างความชุกที่เพิ่มขึ้นของสายพันธุ์ต่างๆ กับการพุ่งขึ้นของจำนวนผู้ป่วยในอินเดีย

 

“ในรัฐมหาราษฏระ เราพบผู้ป่วยสายพันธุ์ B.1.617 เพิ่มขึ้น และก็เกิดการแพร่ระบาดในรัฐ ขณะนี้เรากำลังพบสายพันธุ์นี้เพิ่มขึ้นในเดลี และเรากำลังเห็นการระบาดในเดลี สิ่งเหล่านี้เป็นความสัมพันธ์ทางระบาดวิทยาที่สำคัญมาก” อกราวาลกล่าว

 

แต่เขาตั้งข้อสังเกตว่า ในนิวเดลีและทางตอนเหนือของอินเดีย พบสายพันธุ์ B.1.1.7 หรือที่รู้จักกันว่าสายพันธุ์สหราชอาณาจักร มากกว่าสายพันธุ์ B.1.617 โดยเป็นที่ทราบกันดีว่าสายพันธุ์ B.1.1.7 สามารถแพร่เชื้อได้มากกว่า

 

นพ.เฟาซีระบุว่า ข้อมูลล่าสุดแสดงให้เห็นว่าวัคซีน Covaxin ซึ่งพัฒนาขึ้นในอินเดีย สามารถต้านสายพันธุ์ B1.617 ได้ ดังนั้น “การฉีดวัคซีนอาจเป็นยาแก้พิษที่สำคัญมาก” เขากล่าว

 

ส่วนสายพันธุ์อื่นๆ ซึ่งพบครั้งแรกโดยนักวิทยาศาสตร์ในแอฟริกาใต้และบราซิล เชื่อว่าสามารถแพร่เชื้อได้มากกว่าสายพันธุ์ดั้งเดิม และขณะนี้ได้กระจายไปยังหลายประเทศแล้ว

 

จนถึงตอนนี้วัคซีนจาก Pfizer/BioNTech, Moderna Inc. และ Johnson & Johnson แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่แตกต่างกันไปในการต้านทานไวรัสกลายพันธุ์เหล่านี้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไวรัสสามารถกลายพันธุ์ได้เมื่อเกิดการแพร่กระจาย จึงไม่มีการรับประกันว่าวัคซีนที่มีอยู่ในปัจจุบันจะสามารถปกป้องผู้คนจากเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ๆ และนั่นหมายความว่าไม่มีประเทศใดในโลกที่ได้รับความคุ้มครอง ไม่ว่าประเทศเหล่านั้นจะฉีดวัคซีนให้กับประชาชนของตนเป็นจำนวนมากแค่ไหนก็ตาม

 

ข้อมูลระบุว่า ประชาชนมากกว่า 142 ล้านคนในสหรัฐอเมริกา และ 33 ล้านคนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปในสหราชอาณาจักร ได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้วอย่างน้อย 1 เข็ม หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 43% และ 64% ของประชากรที่มีสิทธิ์รับวัคซีนของแต่ละประเทศตามลำดับ

 

ในทางตรงกันข้าม กระทรวงสาธารณสุขของอินเดียรายงานว่า ประชากรประมาณ 129 ล้านคนในอินเดียได้รับวัคซีนอย่างน้อย 1 โดส ณ วันที่ 27 เมษายน ซึ่งคิดเป็นเพียง 8% ของประชากรทั้งหมดของอินเดีย โดยผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเป็นเพราะการฉีดวัคซีนที่ล่าช้าและการขาดแคลนวัคซีน

 

อินเดียถือเป็นประเทศที่มีบทบาทสำคัญในโครงการ COVAX ซึ่งเป็นโครงการแจกจ่ายวัคซีนระดับโลกที่ให้ส่วนลดหรือมอบวัคซีนฟรีแก่ประเทศที่มีรายได้ต่ำ

 

ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ขึ้นในประเทศ อินเดียรับบทบาทเป็นผู้นำในความพยายามที่จะหยุดการแพร่ระบาดทั่วโลก โดยนายกรัฐมนตรีโมดีให้สัญญากับโครงการ COVAX ว่าจะจัดหาวัคซีนให้หลายล้านโดส อีกทั้งเมื่อต้นปีนี้ อินเดียยังได้บริจาควัคซีนให้กับประเทศอื่นๆ เช่น กายอานา กัวเตมาลา เซเชลส์ และมัลดีฟส์

 

อินเดียให้คำมั่นด้วยว่าจะจัดหาวัคซีน 200 ล้านโดสให้แก่โครงการ COVAX เพื่อแจกจ่ายไปยังประเทศยากจน 92 ประเทศ แต่สถานการณ์ที่เลวร้ายลงอย่างรวดเร็วในประเทศ ทำให้อินเดียต้องหันกลับมาให้ความสำคัญกับพลเมืองของตนก่อน COVAX

 

สถาบันเซรุ่มแห่งอินเดีย (SII) ระบุในแถลงการณ์เมื่อเดือนมีนาคมว่า ทางสถาบันได้ส่งมอบวัคซีน AstraZeneca ให้ COVAX ไปแล้ว 28 ล้านโดส และมีกำหนดส่งมอบอีก 90 ล้านโดสในเดือนมีนาคมและเมษายน แต่เตือนว่าการส่งมอบอาจล่าช้า เนื่องจากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นในอินเดีย

 

การที่อินเดียขาดแคลนวัคซีนและจำเป็นต้องเก็บไว้ใช้ในประเทศ นั่นหมายความว่าประเทศอื่นๆ เช่น แอฟริกาใต้และบราซิล จะต้องรอต่อไป 

 

จอห์น เอนเคนกาซอง ผู้อำนวยการหน่วยงานควบคุมโรคของแอฟริกา เตือนเมื่อต้นเดือนนี้ว่า การระงับการส่งออกวัคซีนของอินเดียอาจเป็น ‘หายนะ’ สำหรับการดำเนินโครงการฉีดวัคซีนในทวีปแอฟริกา

 

อย่างไรก็ดี แม้การจัดหาวัคซีนของอินเดียจะหยุดชะงัก แต่ COVAX เปิดเผยว่า การส่งมอบวัคซีนในปริมาณที่กำหนดไว้ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้กำลังเดินหน้าไปตามแผน และคาดว่าจะจัดหาวัคซีนได้ 2 พันล้านโดสภายในสิ้นปีนี้

 

สิ่งที่เกิดขึ้นกับอินเดียเน้นย้ำให้เห็นถึงความสำคัญของการกระจายห่วงโซ่อุปทาน และ COVAX พยายามที่จะทำข้อตกลงกับผู้ผลิตวัคซีนเพิ่มเติม ซึ่งจะมีการประกาศให้ทราบในเร็วๆ นี้

 

“หนึ่งปีนับจากนี้เราจะอยู่ในสถานการณ์ที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้มาก แต่จะมีอีกหลายประเทศที่จะไม่เป็นเช่นนั้น ยิ่งประเทศอื่นๆ ได้รับการปกป้องเร็วเท่าไร เราก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น” นพ.เฟาซีกล่าว

 

ภาพ: Sonu Mehta / Hindustan Times via Getty Images

พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X