เข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการจัดพอร์ตลงทุนเพื่อการออมและลดหย่อนภาษีประจำปีแล้ว แม้ว่าผู้ลงทุนไทยจะเริ่มมีพฤติกรรมการลงทุนแบบวางแผนกันมากขึ้น แต่ก็เชื่อว่าผู้ลงทุนบางกลุ่มก็ยังคงติดกับดักที่ชื่อว่า ‘ไม่ว่าง / ไม่มีเวลา’ จึงทำให้พลาดการวางแผนลงทุนด้วยตัวเองอยู่ร่ำไป และทางออกสุดท้ายก็คือการเลือกซื้อกองทุนเพื่อบริหารภาษีในช่วงปลายปีแบบนี้
สำหรับผู้ที่ ‘ไม่ว่าง / ไม่มีเวลา’ กองทุนรวมที่น่าสนใจและเหมาะกับผู้ลงทุนที่มีลักษณะเฉพาะเช่นนี้ก็คือ Index Fund เนื่องจากเป็นกลุ่มกองทุนที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย ใช้เวลาศึกษาข้อมูลและเลือกลงทุนไม่นานนัก
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- 12 หุ้นปันผล 2565 ขึ้น XD (9-12 พ.ค. 2565) อัตราปันผลสูงเกิน 5% ขึ้นไป
- 9 หุ้น จ่ายเงินปันผลสูงมากกว่า 5% ตลอด 5 ปี แถมราคาตั้งแต่ต้นปียังบวก
- 10 หุ้น ขึ้น XD จ่ายเงินปันผลสูงสุดในรอบเดือน ก.ย. 65
Index Fund คืออะไร
Index Fund คือ กองทุนรวมอิงดัชนีหุ้น เป็นกองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนในหุ้นทุกตัวที่ประกอบกันเป็นดัชนี บริหารโดยใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรับ (Passive Management) ทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงดัชนีอ้างอิง โดยอาจลงทุนในหุ้นตลาดใดตลาดหนึ่ง เช่น ดัชนี S&P500 สหรัฐอเมริกา หรือ ดัชนีหุ้นโลก MSCI World เป็นต้น โดยเป็นการลงทุนทั้งตลาด หรือเกือบทั้งตลาด โดยที่ผู้ลงทุนไม่ต้องทำการเลือกหุ้นเอง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนเคลื่อนไหวตามดัชนี
จุดเด่นของ Index Fund
- ค่าธรรมเนียมถูกกว่า ซึ่งหมายความว่าผู้ลงทุนมีโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงขึ้นในระยะยาว เพราะค่าบริหารจัดการถูกกว่า และค่าธรรมเนียมในการซื้อกองทุน (Front-end) ถูกกว่า
- ได้เป็นเจ้าของหุ้นหลายบริษัท เพราะการลงทุนในกองทุน Index Fund หนึ่งกองหมายถึงกระจายซื้อหุ้นขนาดใหญ่มีมูลค่าตลาดสูงหลายตัว ซึ่งมักจะเป็นหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี โดดเด่น มั่นคง และมีโอกาสเติบโตของดัชนีตลาดหุ้นนั้นๆ
- ได้กระจายความเสี่ยง เป็นทางเลือกในการกระจายการลงทุนในหุ้นที่หลากหลาย ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนหุ้นรายตัวลง เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนจากตลาดหุ้นชั้นนำทั่วโลก
เมื่อรู้จักคาแรกเตอร์และจุดเด่นของ Index Fund กันแล้ว ส่วนผสมที่ผู้ลงทุนควรมีเพิ่ม เพื่อให้สามารถตัดสินใจจัดพอร์ตลงทุนได้ดีขึ้นก็คือ การเข้าใจตลาดหุ้นแต่ละประเทศ เนื่องจากผลตอบแทนระยะยาวจากตลาดหุ้นแต่ละประเทศนั้นจะแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังจากที่เผชิญความซบเซาจากยุคโควิดมาตลอด 2 ปี ซึ่งรอบวัฏจักรเศรษฐกิจของแต่ละประเทศก็จะไม่ตรงกัน รวมถึงภาพการเติบโตระยะยาวของแต่ละประเทศด้วย
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดดเด่นในฐานะแหล่งรวมหุ้นชั้นนำของโลก
ท่ามกลางยุคซบเซาของเศรษฐกิจอันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของโควิดนั้น สหรัฐอเมริกาเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างชัดเจน ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เองก็เป็นตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นแหล่งรวมหุ้นชั้นนำขนาดใหญ่ คุณภาพสูง มีความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และสามารถขยายการเติบโตไปทั่วโลกได้ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เป็นตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว (Developed Market) จึงเอื้อให้ผู้ลงทุนสามารถหาข้อมูลได้มากมาย อีกทั้งยังอยู่ในเรดาร์ของนักวิเคราะห์เก่งๆ จากทั่วโลกอีกด้วย
เปิดแนวคิดนักลงทุนระดับตำนาน ‘Warren Buffett’
แม้แต่ Warren Buffett ซึ่งเป็นนักลงทุนระดับตำนาน ยังเคยกล่าวไว้ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ปี 2020 ว่า “Never bet against America” หรือ “อย่าวางเดิมพันอยู่ฝั่งตรงข้ามกับสหรัฐอเมริกา!”
ปี 2020 เป็นช่วงที่ทั่วโลกต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตโควิด ซึ่งสร้างแรงสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลก และตลาดหุ้นทั่วโลกอย่างมหาศาล อย่างไรก็ตาม ความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ของ Warren Buffett กลับไม่สั่นคลอน อีกทั้งยังมองว่าสหรัฐฯ จะเป็นประเทศที่เป็น ‘ขาขึ้นในระยะยาว’ ทั้งในเชิงความเป็นชาติมหาอำนาจทางการทหาร ทางเศรษฐกิจ และเจ้าแห่งเทคโนโลยีนวัตกรรมโลก
ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นเข้าข่ายตลาดกระทิงติดต่อกันมาหลายปี โดยดัชนี S&P500 ในปี 2019 +28.5%, ปี 2020 +15.5% และ ปี 2021 +27.2% จนกระทั่งในปี 2022 ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ พบเจอกับภาวะเงินเฟ้อสูงมากกว่า 7% ในรอบหลายทศวรรษ นำมาสู่การออกนโยบายที่ต้องจัดการกับภาวะเงินเฟ้อ คือการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นผลร้ายต่อตลาดหุ้น
โดยตั้งแต่ต้นปี 2022 ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับฐานลงมาอย่างแรง ดัชนี S&P500 (YTD 8 พฤศจิกายน 2022) -21.85% จากสารพัดแรงกดดันที่ยากจะเกิดขึ้นพร้อมกันในปีเดียว เช่น สงคราม ราคาน้ำมันและก๊าซพุ่งสูง ภาวะเงินเฟ้อรุนแรง และความเสี่ยงเศรษฐกิจถดถอย สื่อหลายสำนักถึงกับขนานนามว่า เป็นเหตุการณ์ ‘Perfect Storm’
การตกลงมาของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปีนี้ ถือว่าเข้าข่ายเป็น ‘ตลาดหมี’ หุ้นหลายตัวราคาปรับลดลงมาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งโอกาสที่จะได้เห็นราคาปรับลงมาภายในปีเดียวอย่างหนักหนาขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ โดยนับจากต้นปี (YTD 8 พฤศจิกายน 2022) ตัวอย่างของหุ้นระดับโลกที่ราคาตกลงมาอย่างหนัก เช่น Microsoft -31.63%, Amazon -47.19%, Alphabet (Google) -38.69%, Meta -71.5% และ Tesla -52.17% เป็นต้น
ดังนั้น จึงเป็นโอกาสเหมาะมากๆ สำหรับผู้ที่ต้องการการลงทุนระยะยาว ในการเลือกลงทุน Index Fund ที่ลงทุนตามดัชนีตลาดหุ้นมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา (S&P 500) ผู้นำสินค้านวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคต และดัชนีหุ้นโลก (MSCI World Index) ที่เกาะกระแสธุรกิจที่เติบโตทั่วโลก ที่ตอนนี้ทั้งสองดัชนีมีราคาลงมาอยู่ในจุดที่เหมาะแก่การลงทุนสะสม
ทั้งนี้ S&P 500 เป็นดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้น 500 ตัว ที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดในตลาด New York Stock Exchange และ Nasdaq ส่วน MSCI World Index เป็นดัชนีที่ประกอบด้วยหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, อังกฤษ, แคนาดา, ฝรั่งเศส และสวิตเซอร์แลนด์ เป็นต้น
เปิดลิสต์ Index Fund ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นโลกที่น่าสนใจสำหรับลงทุนเพื่อการออม
1. หากเน้นลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ อิงดัชนี S&P 500
SCBS&P500-SSF กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส (ชนิดเพื่อการออม)
SCBRMS&P500 กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส เพื่อการเลี้ยงชีพ
โดยทั้ง 2 กองทุนมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) ได้แก่ กองทุน IShares Core S&P 500 ETF (กองทุนหลัก) บริหารโดย BlackRock Fund Advisors
กองทุนนี้เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการกระจายการลงทุนไปสู่บริษัทชั้นนำในสหรัฐฯ และต้องการรับผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวเกาะไปกับดัชนี S&P 500
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีน้ำหนักสูงในกองทุนคือ 1. กลุ่ม Information Technology 26.77% 2. กลุ่ม Healthcare 15.01% 3. กลุ่ม Financials 10.81% 4. กลุ่ม Consumer Discretionary 10.51% และ 5. กลุ่ม Communication 8.85%
ลงทุนหุ้นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ S&P 500 ซึ่งเป็นหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตสูง และมีพัฒนาการด้านนวัตกรรมระดับโลก เช่น Apple Inc., Microsoft Corp., Amazon.com, Alphabet Inc., NVIDIA Corp, Tesla และ Berkshire Hathaway
2. เน้นลงทุนทั่วโลก อิงดัชนี MSCI World Index
SCBWORLD-SSF กองทุนเปิดไทยพาณิชย์ดัชนีหุ้นโลก (ชนิดเพื่อการออม)
กองทุนมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทนก่อนหักค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนใกล้เคียงกับผลตอบแทนของดัชนี MSCI World โดยลงทุนอย่างน้อยร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินกองทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบในดัชนี MSCI World Index ซึ่งประกอบด้วยหุ้นของกลุ่มตลาดที่พัฒนาแล้ว 23 ประเทศในหลากหลายอุตสาหกรรม
มีนโยบายเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว (Feeder Fund) ได้แก่ กองทุน iShares MSCI World ETF (กองทุนหลัก) บริหารโดย BlackRock Fund Advisors
กองทุนนี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เชื่อมั่นในการเติบโตของหุ้นทั่วโลกในกลุ่มตลาดพัฒนาแล้ว ต้องการกระจายการลงทุนไปสู่บริษัทชั้นนำทั่วโลก และต้องการรับผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาวเกาะไปกับดัชนี MSCI World Index การจัดสรรการลงทุนในต่างประเทศของกองทุนหลัก คือ 1. สหรัฐอเมริกา 68.36% 2. ญี่ปุ่น 6.13% 3. สหราชอาณาจักร 4.4% 4. แคนาดา 3.59% และ 5. ฝรั่งเศส 3.09%
กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีน้ำหนักสูงในกองทุนคือ 1. กลุ่ม Information Technology 20.99% 2. กลุ่ม Healthcare 14.09% 3. กลุ่ม Financials 13.51% 4. กลุ่ม Consumer Discretionary 10.51% และ 5. กลุ่ม Communication 9.83%
ลงทุนหุ้นทั่วโลก ซึ่งเป็นหุ้นที่มีศักยภาพเติบโตสูง และมีพัฒนาการด้านนวัตกรรมระดับโลก เช่น Apple, Microsoft, Amazon, Alphabet (Google), Tesla, Nvidia, Meta Platform, UnitedHealth และ Johnson and Johnson เป็นต้น
เริ่มต้นลงทุนใน SCBS&P500-SSF SCBRMS&P500 และ SCBWORLD-SSF ได้เลยทันที โดย
- เปิดบัญชีกองทุนผ่าน SCB Easy App
- ผูกบัญชีกองทุนบน SCB Easy App
- ซื้อกองทุนผ่าน SCB Easy App
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
- SCBS&P500-SSF https://www.scbam.com/fund/tax-ssf/fund-information/scbs-p500-ssf
- SCBRMS&P500 https://www.scbam.com/fund/tax-rmf/fund-information/scbrms-p500
- SCBWORLD-SSF https://www.scbam.com/th/fund/ssf/fund-information/scbworldssf
คำเตือน:
- ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน ความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ระบุไว้ในคู่มือการลงทุนของกองทุน RMF/SSF ก่อนตัดสินใจลงทุน
- กรณีไม่ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขทางภาษี จะไม่ได้สิทธิประโยชน์ตามเงื่อนไขของกองทุน รวมถึงควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตน และยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้
- ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
- กองทุนบางกองทุนมิได้ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน รวมถึงบางกองทุนมีการลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนอาจได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้ ดังนั้นควรลงทุนในกองทุนรวมที่เหมาะสมกับวัตถุประสงค์การลงทุนของตน และผู้ลงทุนยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนดังกล่าวได้ และสามารถศึกษาข้อมูลกองทุนหลักได้จากเว็บไซต์ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม และรายละเอียดเพิ่มเติมของกองทุนผ่าน SCB Easy App