วันนี้ (30 มีนาคม) รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 ว่า ครม. รับทราบรายงานสถานการณ์ผู้สูงอายุไทย พ.ศ. 2562 ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ ซึ่งสถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศไทย พ.ศ. 2562 มีประชากรผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 11.6 ล้านคน หรือร้อยละ 17.5 ของประชากรทั้งประเทศ และตั้งแต่ พ.ศ. 2566 เป็นต้นไป จะมีคนไทยอายุ 60 ปี ปีละล้านคน และใน พ.ศ. 2576 จะมีประชากรผู้สูงอายุร้อยละ 28 ของประชากรทั้งประเทศ ขณะที่การเกิดใน พ.ศ. 2562 มีจำนวนลดต่ำลงเหลือเพียง 6.1 แสนคน ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลให้ความสำคัญกับการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุ (Social Welfare for Elderly) มาตลอด โดยดำเนินการจัดสวัสดิการด้านต่างๆ อาทิ
1. ด้านการศึกษา เช่น จัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุ จำนวน 1,555 แห่ง โดยกำหนดเนื้อหาที่เหมาะสมสำหรับการเรียนรู้ในมิติสุขภาพ มิติสังคม มิติเศรษฐกิจ และมิติสภาพแวดล้อม
2. ด้านสุขภาพอนามัย เช่น สวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการ กองทุนหลักประกันสุขภาพหรือบัตรทอง ซึ่งมีผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงได้รับการดูแล จำนวน 219,518 คน
3. ด้านที่อยู่อาศัย ดำเนินการปรับปรุงซ่อมบ้านให้แก่ผู้สูงอายุ จำนวน 3,200 หลัง และปรับปรุงสถานที่สาธารณะให้เอื้อต่อผู้สูงอายุและคนทุกวัย จำนวน 20 แห่ง
4. ด้านการทำงานและการมีรายได้ เช่น 1) รัฐบาลออกมาตรการจูงใจเพื่อส่งเสริมให้ภาคเอกชนจ้างแรงงานผู้สูงอายุเข้าทำงานมากขึ้น 2) ตั้งศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ (ศพอส.) 1,489 แห่ง 3) สนับสนุนเงินทุนกู้ยืมเพื่อประกอบอาชีพผู้สูงอายุผ่านกองทุนผู้สูงอายุ จำนวน 8,991 คน 4) เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ 9.09 ล้านคน และ 4) สวัสดิการบำเหน็จบำนาญข้าราชการ กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุนการออมแห่งชาติ
5. ด้านบริการทางสังคม เช่น ช่วยเหลือการทำศพผู้สูงอายุตามประเพณี การช่วยเหลือผู้สูงอายุในภาวะยากลำบากผ่านกลไกในระดับพื้นที่ คืออาสาพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) และอาสาสมัครบริบาลท้องถิ่น
นอกจากนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มีข้อเสนอแนะในการส่งเสริมและพัฒนากลไกให้ดียิ่งขึ้น ดังนี้ 1) ทบทวนและคำนึงถึงความยั่งยืน และภาระด้านงบประมาณอย่างจริงจังต่อการจัดสวัสดิการฯ ผ่านโครงการต่างๆ ของรัฐ เช่น เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ควรคำนึงถึงการนำเงินที่ได้รับไปต่อยอดให้เกิดรายได้เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาชีพ และการดำรงชีวิตในระยะยาว 2) ปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคม และเป็นสากลมากขึ้น โดยไม่มุ่งเน้นเฉพาะแนวคิดการสงเคราะห์ แต่ควรจัดสวัสดิการสังคมบนพื้นฐานของสิทธิพลเมือง ที่ทุกคนมีสิทธิเข้าถึงและได้รับสวัสดิการขั้นพื้นฐาน 3) กระจายความรับผิดชอบในการจัดสวัสดิการสังคมผ่านการสร้างหุ้นส่วน โดยเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนในสังคมมีส่วนร่วม และสนับสนุนการจัดสวัสดิการสังคมสำหรับผู้สูงอายุอย่างเป็นรูปธรรม
รัชดากล่าวด้วยว่า สถานการณ์ผู้สูงอายุของโลกก็เป็นเช่นเดียวกับประเทศไทย ใน พ.ศ. 2562 มีผู้สูงอายุครบ 1,000 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 13 ของประชากรทั้งโลก โดยประชากรโลกกำลังเพิ่มขึ้นด้วยอัตราที่ช้าลง แต่ประชากรผู้สูงอายุ 100 ปีขึ้นไป กลับมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับทวีปเอเชีย มีผู้สูงอายุมากที่สุดจำนวน 586 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 13 ของประชากรทั้งทวีป รองลงมาคือ ทวีปยุโรป มีผู้สูงอายุจำนวน 189 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 19 ของผู้สูงอายุทั้งโลก และอาเซียน มีประชากรสูงอายุจำนวน 70 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 11 ของประชากรอาเซียน ส่วนประเทศที่มีอัตราผู้สูงอายุสูงสุดในโลกคือ ญี่ปุ่น คิดเป็นร้อยละ 34 ของประชากรทั้งหมด 127 ล้านคน
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์