พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 2022/23
นับเป็นอีกฤดูกาลที่มีหลากอารมณ์ หลายเรื่องราวให้จดจำกันไม่น้อย ตั้งแต่การที่ทีมอย่างแมนฯ ซิตี้ ของเป๊ป กวาร์ดิโอลา แซงอาร์เซนอลที่ครองจ่าฝูง 248 วัน คว้าแชมป์ลีกในช่วง 3 สัปดาห์สุดท้าย, ลิเวอร์พูล ไล่ถล่มคู่ปรับตลอดกาลอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ขาดลอยถึง 7-0, ความยอดเยี่ยมของฮาลันด์ ไปจนถึงความตกต่ำด้านผลงานของเชลซี
THE STANDARD ถือโอกาสนี้รวบรวมโมเมนต์สำคัญ จากศึกพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2022/23 มารวมไว้ในลิสต์นี้ เพื่อชวนคอบอลทุกคนร่วมย้อนรอยเหตุการณ์ที่เชื่อว่าหลายคนจะ ‘จำไม่ลืม’
แมนฯ ซิตี้ ร่างทองแซงซิวแชมป์ + ลุ้น 3 แชมป์
ความจริงฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่เหมือนทีม ‘เรือใบสีฟ้า’ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ทำท่าจะ ‘ปล่อยจอย’ มากที่สุดในรอบหลายปี ผู้เล่นแกนหลักหลายคนฟอร์มดรอปอย่างเห็นได้ชัด และตามหลังจ่าฝูงอาร์เซนอลมาโดยตลอด
แต่ไปๆ มาๆ จากจุดเปลี่ยนที่เป๊ป กวาร์ดิโอลาไปสะกิดใจเควิน เดอ บรอยน์ ที่เหมือนเล่นแบบไม่ตั้งใจว่า “ก่อนจะเล่นยากๆ ช่วยเล่นง่ายๆ ก่อน” ทำให้มิดฟิลด์จอมทัพที่เป็นหัวใจของทีมกลับคืนฟอร์มอีกครั้ง และมีส่วนปลุกคนอื่นไม่ว่าจะเป็น โรดรี, อิลคาย กุนโดกัน, แจ็ค กรีลิช, ริยาด มาห์เรซ ไปจนถึงปลดล็อกเออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ ที่เจอช่วงฟอร์มหนืดเพราะเพื่อนไม่ช่วยปั้นให้กลับมายิงระเบิดอีกครั้ง
สุดท้ายด้วยประสบการณ์ที่เหนือกว่า แมนฯ ซิตี้ปาดหน้าอาร์เซนอลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ และที่ยอดเยี่ยมกว่าคือการเขี่ยเรอัล มาดริดแชมป์เก่าตกรอบรองชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกได้แบบสะใจ มีโอกาสลุ้นแชมป์เพราะถูกมองว่าเป็นต่ออินเตอร์ มิลานพอสมควร
แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น วันเสาร์นี้ (3 มิถุนายน) ต้องเปิดศึก ‘แมนเชสเตอร์ ดาร์บี’ ที่เวมบลีย์ เพื่อลุ้นคว้าแชมป์ที่ 2 กับแมนฯ ยูไนเต็ดก่อน ซึ่งหากผ่านด่านไปได้ก็มีโอกาสจะสร้างประวัติศาสตร์คว้า 3 แชมป์ใหญ่ในฤดูกาลเดียว หรือที่เรียกว่า ‘เทรเบิลแชมป์’ ซึ่งมีแมนฯ ยูไนเต็ดเคยทำได้ทีมเดียวของอังกฤษเมื่อปี 1999
ลิเวอร์พูล 7-0 แมนฯ ยูไนเต็ด
นี่เป็นฤดูกาลที่เลวร้ายที่สุดสำหรับทีมลิเวอร์พูลในยุคของเจอร์เกน คล็อปป์แบบไม่ต้องสงสัย เมื่อทีมที่เคยไล่ล่า 4 แชมป์ในฤดูกาลที่แล้วเกิดเครื่องสะดุด เพลาหัก สลักหาย สายไฟขาด มีปัญหาแทบทุกจุดจนทีมทรุดแบบไม่น่าเชื่อ
แต่อย่างน้อยที่สุดหนึ่งในความทรงจำดีๆ ที่เกิดขึ้นคือเกมแดงเดือดที่แอนฟิลด์ เมื่อลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายไล่ถล่มคู่ปรับตลอดกาลขาดลอยถึง 7-0 เป็นสกอร์ที่หากใครไม่ได้ดูแล้วตื่นมาเช็กผลต้องขยี้ตาก่อนรอบหนึ่งแน่นอน
น่าเสียดายตรงที่ถล่มคู่ปรับตลอดกาลเละเทะที่สุดในรอบ 92 ปี แต่เกมต่อมาก็เข้าอีหรอบเดิมไปแพ้บอร์นมัธก่อนจะหลุดฟอร์มพักใหญ่ และมีการเปลี่ยนแปลงระบบการเล่นจนเริ่มคืนฟอร์มเก่ง แต่ก็ไม่ทันเสียแล้วเมื่อจบแค่ที่ 5 ไม่ได้ไปแชมเปียนส์ลีก
ส่วนทีมที่โดนยิงไป 7-0 จนแทบไม่อยากเข้า ‘เซเว่น’ ได้อันดับที่ 3 ไปเล่นถ้วยใหญ่ที่สุด แถมมีแชมป์การันตีไปแล้วคือถ้วยลีกคัพ
อาร์เซนอลจ่าฝูง 248 วัน
ทุกอย่างเหมือนความฝันไปหมดสำหรับเหล่ากูนเนอร์ส เมื่ออาร์เซนอลที่ผิดหวังจากการพลาดท็อปโฟร์ในฤดูกาลที่แล้วเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ได้อย่างร้อนแรง
นักเตะใหม่อย่าง กาเบรียล เชซุส, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก และคีย์แมนที่ได้รับโอกาสเป็นตัวหลักในฤดูกาลนี้อย่าง วิลเลียม ซาลิบา ผนึกกำลังกับเสาหลักอย่าง มาร์ติน โอเดการ์ด, บูกาโย ซากา และ กาเบรียล มาร์ติเนลลี พาอาร์เซนอลตะลุยเก็บชัยชนะมาอย่างต่อเนื่อง สยบเสียงวิพากษ์ว่ายืนระยะไม่นานเดี๋ยวก็แผ่ว จนประกาศตัวว่าเป็นทีมลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกเต็มๆ เมื่อผ่านครึ่งฤดูกาลไปแล้ว
โดยตลอดทางอาร์เซนอลเจอบททดสอบหินๆ มาเยอะ มีเกมที่ชวนให้คิดว่า “เฮ้ย หรือนี่จะเป็นปีของเรา” หลายนัด เช่น เกมที่ชนะบอร์นมัธ 3-2 จากประตูชัยในนาทีที่ 97 ของรีส เนลสัน
แต่สุดท้ายอาการบาดเจ็บของซาลิบา การหลุดฟอร์มพลาดเสมอติดต่อกัน 3 นัดในช่วงสำคัญก่อนเข้าโค้งสุดท้ายของฤดูกาล และการแพ้ต่อแมนฯ ซิตี้ทั้งไปและกลับทำให้ถึงพวกเขาจะเป็นจ่าฝูงนานที่สุด 248 วัน แต่มันก็ไม่ดีพอที่จะทำให้เป็นแชมป์ในฤดูกาลนี้
น่าเสียดาย แต่สำหรับกูนเนอร์สหลายคนก็มองว่าไม่น่าเสียใจ แค่นี้ก็เกินคาดแล้ว
ฮาลันด์ ทุบสถิติแหลกลาญ ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่เหยียบลีกผู้ดี
ในวงการฟุตบอลอังกฤษมีการพูดถึงการที่แมนฯ ซิตี้ได้ตัวเออร์ลิง เบราต์ ฮาลันด์ มาร่วมทีมจากโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์กันค่อนข้างมาก โดยตั้งคำถามว่ากองหน้าตัวเป้าที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์คนนี้จะปรับตัวเข้ากับฟุตบอลอังกฤษและระบบทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอลาได้แค่ไหน?
คำตอบ? ฮาลันด์ทุบสถิติเป็นว่าเล่นตลอดทั้งฤดูกาล โดยทำไป 55 ประตู! ในทุกรายการกับซิตี้ในฤดูกาล 2022/23 โดยที่ยังเหลือนัดชิงเอฟเอคัพ กับนัดชิงแชมเปียนส์ลีกอีก 2 นัด ขณะที่ในพรีเมียร์ลีกทำลายสถิติตลอดกาลที่ แอนดี้ โคล และอลัน เชียเรอร์ เป็นเจ้าของดาวซัลโวสูงสุดในฤดูกาลเดียว 34 ประตู โดยยิงไปทั้งสิ้น 36 ประตู (โดยจำนวนเกมน้อยกว่า 4 นัดด้วย เพราะสมัยก่อนมี 22 ทีม เตะกัน 42 นัด)
ความน่ากลัวก็คือขนาดว่าตลอดทั้งฤดูกาลกองหน้าที่เหมือนร่างทรง ‘จอมมารบู’ คนนี้ยังดูมีความเก้ๆ กังๆ งงๆ บ้างในบางนัด แต่ยังผลิตสกอร์เป็นว่าเล่นแบบนี้ ไม่อยากคิดว่าในอนาคตเมื่อกระดูกแข็งขึ้นอีกจะน่าสยองขวัญขนาดไหน
นิวคาสเซิล ไป UCL ในรอบ 20 ปี
ถ้าไม่นับแชมป์อย่างแมนฯ ซิตี้ และทีมขวัญใจมหาชนอย่างไบรท์ตันที่จบฤดูกาลด้วยการไปรายการยูโรปาลีกได้อย่างน่าประทับใจแล้ว ทีมที่สมควรได้รับเสียงปรบมือจากฟอร์มยอดเยี่ยมสม่ำเสมอตลอดทั้งฤดูกาลคือนิวคาสเซิล ยูไนเต็ดภายใต้การนำของเอ็ดดี ฮาว
ในตอนที่ฮาวรับงานทีม ‘แม็กไพส์’ หรือ ‘สาลิกาดง’ อยู่ในอันดับที่ 18 แต่สามารถพาทีมจบฤดูกาลที่แล้วด้วยอันดับที่ 11 ก่อนที่จะมีการต่อยอดความสำเร็จด้วยการพาทีมทะลุท็อปโฟร์จบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับที่ 4 ได้
แน่นอนว่าจุดเปลี่ยนสำคัญคือการที่สโมสรมีทุนจากซาอุดีอาระเบียหนุนหลัง สามารถซื้อผู้เล่นเข้ามาเสริมทีมจนเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว แต่อีกส่วนคือการทำงานที่ยอดเยี่ยมของสโมสร ทั้งผู้จัดการทีมอย่างฮาว หรือผู้อำนวยการสโมสรอย่าง แดน แอชเวิร์ธ ที่เลือกนักเตะที่เหมาะสมที่สุดต่อระบบและแนวทางของทีม
การได้ไปแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปีของพวกเขาจึงเป็นผลงานที่น่าชื่นชมอย่างแท้จริง และน่าจับตามองว่าการได้เล่นในถ้วยใบใหญ่ที่สุดของยุโรปจะยิ่งเป็นสปริงบอร์ดให้ทีมยกระดับไวขึ้นอีกหรือไม่ ในการดึงดูดสตาร์ระดับท็อปของโลกมาร่วมทีมด้วยในช่วงปิดฤดูกาลนี้
เชลซี กับฤดูกาลแห่งความเลวร้าย
ในขณะที่นิวคาสเซิลเป็นทีมที่ลงทุนและประสบความสำเร็จสูง เชลซีคืออีกด้านของการลงทุนที่ยิ่งลงมากเท่าไรก็ยิ่งเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำมากขึ้นเท่านั้น
เชลซีมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 20 ปีเมื่อ โรมัน อับราโมวิช ถูกบีบให้ขายหุ้นของสโมสรโดยรัฐบาลอังกฤษที่เข้ามาแทรกแซงเพื่อตอบโต้รัสเซียกรณีทำสงครามบุกยูเครน โดยเป็น ทอดด์ โบห์ลี นักธุรกิจกีฬาชาวอเมริกันที่เป็นผู้นำกลุ่มทุนใหม่เข้ามาเทกโอเวอร์กิจการต่อ
โบห์ลีแม้จะมีประสบการณ์กับวงการกีฬามามาก แต่กับเกมฟุตบอลที่มีความแตกต่างทำให้การทำงานไม่ว่าจะทำเรื่องอะไรก็ผิดพลาดไปทั้งหมด ตั้งแต่การตัดสินใจปลด โธมัส ทูเคิล ผู้จัดการทีมขวัญใจแฟนบอล และเลือก เกรแฮม พอตเตอร์ กุนซือฝีมือดีจากไบรท์ตันที่ไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมใหญ่มาแทน
หรือที่เป็นที่พูดถึงมากที่สุดคือการลงทุนมากมายมหาศาลในการซื้อผู้เล่นด้วยจำนวนเงินรวมกันถึง 600 ล้านปอนด์ในฤดูกาลเดียว แต่กลับสร้างปัญหา ทีมมีขนาดใหญ่เกินไปจนพอตเตอร์รับมือไม่ไหว สุดท้ายผลงานเลวร้ายถูกปลด ก็ยังสร้างปัญหาต่อด้วยการไม่ตัดสินใจเลือกใครเข้ามาคุมทีมเพื่อรอจบฤดูกาลแล้วให้แฟรงค์ แลมพาร์ดกลับมารับงานอีกรอบ และผลงานเลวร้ายสุดๆ ในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล
ถึงตอนนี้เชลซีได้ เมาริซิโอ โปเชตติโน มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ และคาดว่าจะมีการล้างบางทีมยกใหญ่ ซึ่งน่าจะมีนักเตะหลายคนที่ต้องย้ายออกไป แต่เหนืออื่นใดข่าวดีคือโบห์ลีน่าจะวางมือจากการเข้ามาบริหารเองแล้ว หลังแต่งตั้งซีอีโอสโมสรมาทำงานแทน ก็หวังว่าทุกอย่างจะออกมาดี
ไบรท์ตัน จากทีม Underdog สู่ทีมฟอร์มสะเด่า
สโมสรเล็กๆ จากแดนใต้ของอังกฤษเป็นที่จับตามองในเรื่องของการเล่นฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมภายใต้การนำของเกรแฮม พอตเตอร์ แต่หลังจากที่เสียกุนซือชาวอังกฤษไปให้กับเชลซีก็มีการพูดกันว่าบางทีทีม ‘เจ้านกนางนวล’ อาจจะถึงคราวตกต่ำแล้ว
ปรากฏว่าการได้ตัว โรแบร์โต เด แซร์บี โค้ชชาวอิตาลีที่ว่างงานอยู่พอดีมาคุมทีม กลายเป็นการถูกรางวัลที่ 1 เมื่อไบรท์ตันไม่เพียงแต่จะรักษาวิธีการเล่นที่ดีแบบเดิม พวกเขายังเล่นดียิ่งกว่าเดิมแบบมีนัยสำคัญ และกลายเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้
คาโอรุ มิโตมะ, มอยเซส ไกเซโด, เพอร์วิส เอสตูปินญาน, ลูอิส ดังก์ หรืออเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ ช่วยกันพาทีมตะลุยจนจบฤดูกาลด้วยการเป็นทีมอันดับ 6 ได้ไปบอลสโมสรยุโรปเป็นครั้งแรกของสโมสร
อูไน ผู้กอบกู้
ไบรท์ตันไม่ได้เป็นทีมเดียวที่เซอร์ไพรส์ เพราะอีกทีมที่สร้างความประหลาดใจและน่าประทับใจคือแอสตัน วิลลา ซึ่งตกอยู่ในสภาพย่ำแย่แทบจะต้องหนีตกชั้นในช่วงที่สตีเวน เจอร์ราร์ด ตำนานลิเวอร์พูลคุมทัพ จนสุดท้ายบอร์ดบริหารตัดสินใจปลดจากตำแหน่ง และเลือก อูไน เอเมรี มาคุมทีมแทน
อดีตผู้จัดการทีมอาร์เซนอล ซึ่งมีปมในใจเพราะล้มเหลวในการคุมทีมกันเนอร์สรอบก่อนเพราะมีปัญหาเรื่องของการสื่อสารภาษาอังกฤษ กลับมาใหม่ในรอบนี้เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าเขาเป็นของจริงของวงการเหมือนกัน และเอเมรีก็เปลี่ยนแปลงให้วิลลากลายเป็นทีมที่น่ากลัวได้อย่างรวดเร็ว
สุดท้ายจากทีมที่กระท่อนกระแท่นกลายเป็นทีมที่ได้ไปยูฟ่ายูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีกอีกทีมได้อย่างน่าประทับใจสุดๆ
ดูกูเร ประตูแห่งความอยู่รอดราคา 170 ล้านปอนด์
ความจริงนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอฟเวอร์ตันต้องตกอยู่ในสถานการณ์ ‘เฉียด’ แบบนี้ แต่ต้องบอกว่าครั้งนี้เป็นหนึ่งในการลุ้นหนีตกชั้นที่เหนื่อยหนักที่สุด เพราะต้องมาลุ้นกันจนถึงนัดสุดท้ายของฤดูกาล
สถานการณ์มันไปถึงจุดที่ว่าเลสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งขึ้นนำเวสต์แฮมไปมีโอกาสจะรอดตกชั้นแทน แต่แล้วเอฟเวอร์ตันที่รับมือบอร์นมัธในรังกูดิสันพาร์ก ก็ได้ประตูสุดสวยของอับดุลลาย ดูกูเร ที่ตะบันจากนอกกรอบเขตโทษเข้าไปอย่างสวยงาม ก่อนที่จะรักษาสกอร์เอาไว้ได้ และส่งเลสเตอร์ตกชั้นไปพร้อมกับลีดส์ และเซาแธมป์ตันที่ตกชั้นก่อนหน้านี้
ประตูนี้มีความหมายแค่ไหน? ประเมินกันไว้คร่าวๆ ว่าลูกนี้ 170 ล้านปอนด์เลยทีเดียว!
ปลดโค้ชมากที่สุด 12 คน
เพราะการแข่งขันในพรีเมียร์ลีกมันรุนแรงขึ้นทุกปี และเดิมพันของการอยู่รอดหรือความสำเร็จในแต่ละฤดูกาลมีมูลค่ามหาศาลมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หมดยุคที่เจ้าของสโมสรจะทู่ซี้ใช้กุนซือคนเดิมไปตลอดด้วยคำว่า ‘Loyal’ แล้ว
แม้แต่ เจอร์เกน คล็อปป์ ที่พาลิเวอร์พูลกวาดทุกแชมป์ในรอบ 7 ปีที่ผ่านมา ยังเจอช่วงที่ถูกตั้งคำถามเลยว่าหรือต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่แอนฟิลด์? แต่สุดท้ายก็รอดตัวมาได้เมื่อทีมกลับคืนฟอร์มสำเร็จ
และนั่นทำให้เราได้เห็นการปลดและเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมพรีเมียร์ลีกมากที่สุดในฤดูกาลนี้ โดยมีการปลดมากที่สุดถึง 12 คน โดยทีมที่ใช้ผู้จัดการทีมเปลืองที่สุดคือเชลซีที่ใช้ถึง 4 คนในฤดูกาลเดียว
เปลี่ยนแล้วปังหรือพังก็ว่ากันไป ซึ่งทีมที่เปลี่ยนแปลงแล้วปังนอกจากไบรท์ตัน (ที่ต้องหาใหม่เพราะจำเป็น) และแอสตัน วิลลาที่ได้เอเมรีพาไปยุโรป อาจจะยกให้เอฟเวอร์ตันอีกทีมที่ได้ ฌอน ไดช์ มากอบกู้พาทีมรอดพ้นจากการตกชั้นได้สำเร็จ
ส่วนที่เปลี่ยนแล้วพัง? ก็ทีมที่เปลี่ยนมากที่สุดนั่นแหละ…
3 ทีม ตกชั้น
ฤดูกาลนี้เป็นฤดูกาลที่ไม่มีทีมน้องใหม่ตกชั้นเลย เพราะ 3 ทีมที่ร่วงลงไป ได้แก่ เซาแธมป์ตัน, ลีดส์ และเลสเตอร์ ที่อยู่ในลีกสูงสุดมา 10 ปี, 3 ปี และ 9 ปีตามลำดับ
โดยทีมนักบุญแดนใต้เป็นทีมแรกที่ร่วงตกชั้น ซึ่งก็เห็นเค้าลางมานานเพราะทีมผลงานย่ำแย่มาตั้งแต่เปิดฤดูกาล กุนซือที่เคยพาทีมทำผลงานได้ดีอย่าง ราล์ฟ ฮาเซนฮุทเทิล ก็ไปไม่รอด และทีมก็ไม่ได้หาผู้จัดการทีมระดับแนวหน้ามากอบกู้สถานการณ์ด้วย
ขณะที่ลีดส์เองก็เยินไม่แพ้กัน เจสซี มาร์ช ถูกปลด ก็เลือก ฆาบี กราเซีย เข้ามาคุมทีมแทนแต่ก็อยู่ได้แค่ไม่กี่สัปดาห์ ก่อนจะขอเสี่ยงเอา ‘จอมหนีตกชั้น’ อย่าง แซม อัลลาร์ไดซ์ มาช่วยทีมในช่วงไม่กี่สัปดาห์สุดท้าย แต่บิ๊กแซมก็ทำภารกิจไม่สำเร็จ สุดท้ายทีมที่ได้ มาร์เซโล บิเอลซา พาขึ้นชั้นก็ตกชั้นจนได้
ทีมสุดท้ายที่ตกชั้นและน่าใจหายคือเลสเตอร์ ที่เคยสร้างเทพนิยายจิ้งจอกสีน้ำเงินคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อ 7 ปีก่อน และแชมป์เอฟเอคัพเมื่อ 2 ปีก่อน มาในฤดูกาลนี้ขาดการลงทุนเสริมทัพเพราะเจ้าของทีมประสบปัญหา อีกทั้งยังตัดสินใจช้าในการปลด เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ผู้จัดการทีม ทำให้สุดท้ายก็ต้องกลับไปเดอะแชมเปียนชิปอีกครั้งอย่างน่าเศร้า
(แถม) ไม่เกี่ยวกับพรีเมียร์ลีก แต่ขอแนะนำ 3 น้องใหม่
สำหรับ 3 ทีมน้องใหม่ของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลหน้าถือว่าน่าจับตามอง โดยทีมแรกคือเบิร์นลีย์ ที่กลับมาลีกสูงสุดอีกครั้งภายใต้การคุมทีมของแว็งซองต์ กอมปานี อดีตกัปตันทีมแมนฯ ซิตี้ ที่ถือเป็นศิษย์สายตรงของเป๊ป กวาร์ดิโอลา
ทีมต่อมาคือ ‘ดาบคู่’ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดที่ตกชั้นไปไม่กี่ปี ตอนนี้ได้โอกาสกลับมาเล่นในลีกสูงสุดอีกครั้งภายใต้การนำของ พอล ฮิคเกนบอททอม ซึ่งตอนนี้มีข่าวว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงเจ้าของสโมสรด้วย ที่ต้องดูว่าจะเป็นผลดีต่อการเสริมทีมสู้ศึกพรีเมียร์ลีกหรือไม่
แต่ทีมที่สร้างความฮือฮาที่สุดคือ ลูตัน ทาวน์ อดีตทีมดังยุค 80 ที่ตกชั้นไปจากลีกสูงสุดตั้งแต่ปี 1992 หรือปีแรกที่มีการเปลี่ยนลีกสูงสุดเป็นพรีเมียร์ลีก ที่เอาชนะโคเวนทรี ซิตี้ได้ในนัดชิงเพลย์ออฟแบบสุดเดือด ไฮไลต์อยู่ที่สนามเคนิลเวิร์ธ โรด ที่มีความจุแค่หลักหมื่นคน มีทางเข้าสนามด้านหนึ่งอยู่ติดกับบ้านคนชนิดเดินเห็นสวนหลังบ้าน และจำเป็นต้องปรับปรุงสนามเป็นการเร่งด่วนเพื่อให้พร้อมสำหรับพรีเมียร์ลีก
เรียกว่าเป็นสีสันใหม่ที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง และทำให้คิดถึงพรีเมียร์ลีกขึ้นมาอีกแล้ว แต่ต้องรออีก 2 เดือนก่อนนะ!