ครั้งแรกที่ผู้เขียนได้ยินว่า Il Buco หรือ The Hole หนังที่ว่าด้วยเรื่องราวการสำรวจถ้ำของผู้กำกับชาวอิตาลี Michelangelo Frammartino จะเข้าฉายในไทย แน่นอนว่าความรู้สึกที่ตามมาคงหนีไม่พ้นสิ่งอื่นใดนอกเสียจาก ‘ประหลาดใจ’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รู้ว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้เข้ามานั่งจับเจ่าอยู่ตามโรงภาพยนตร์อาร์ตเฮาส์เพียงอย่างเดียว แต่มันกลับเข้าฉายในโรงภาพยนตร์เจ้าใหญ่บ้านเราด้วย
ที่น่าทึ่งที่สุดคือ หากให้เอยชื่อหนังของเขาออกมาสักเรื่องอาจมีน้อยคนมากที่รู้จักชื่อของผู้กำกับคนนี้และหนังที่เขาเคยทำมา ฉะนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากว่า เหตุใดหนังของ Frammartino เรื่องนี้ถึงได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์บ้านเรา (โดยเฉพาะ 2 เจ้าใหญ่) ทั้งที่กระแสตอบรับและรายได้อาจไม่ค่อยสู้ดีนัก
Il Dono หรือ The Gift (2003)
หากมองดูแล้วหนังของเขาทั้งหมดล้วนห่างไกลจากคำว่า ‘แมส’ และนั่นหมายถึงคนที่รู้จักผลงานด้วยเช่นกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด เพราะตลอดชีวิตการทำหนังที่ผ่านมาทั้งหมดของ Frammartino เขามีหนังยาวอยู่เพียงแค่ 3 เรื่องเท่านั้น
เรื่องแรกคือ Il Dono หรือ The Gift (2003) ว่าด้วยเรื่องราวของชายชรากับหญิงสติไม่ดีคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านทางตอนใต้ของอิตาลี แน่นอนว่าแค่ผลงานเรื่องแรกก็แสดงถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ Frammartino อย่างชัดเจนแล้ว นั่นคือการที่หนังไร้ซึ่งฉากหวือหวาและเพลงประกอบใดๆ มีเพียงแค่การตั้งกล้องนิ่งๆ หรือขยับกล้องแต่พอจำเป็น เพื่อบันทึกภาพของผู้คนและเสียงที่ลอยมาตามลม
Le Quattro Volte หรือ The Four Times (2010)
หนังเรื่องที่ 2 ของเขาอย่าง Le Quattro Volte หรือ The Four Times (2010) เป็นผลงานที่ห่างกับเรื่องแรกนานเกือบ 10 ปี และเป็นหนังเรื่องสำคัญที่สร้างชื่อให้กับ Frammartino ในฐานะคนทำหนังสายมานุษยวิทยาที่เก่งกาจที่สุดคนหนึ่ง
โดยคราวนี้เขายังคงวนเวียนอยู่กับการจับจ้องเรื่องราวที่เกิดขึ้นในพื้นที่ทางตอนใต้ของอิตาลีอย่าง Calabria ด้วยการสังเกตประเพณีโบราณที่ยึดโยงไปถึงจิตวิญญาณของผู้คน ธรรมชาติ และเวลา ซึ่งความพิเศษของมันอยู่ตรงที่การผลักให้มนุษย์ไปอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นน้อยกว่าปกติ และให้เหล่าบรรดาสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตอื่นได้มาออกมาโลดแล่นในฐานะตัวเอกบ้าง
ส่วนเหตุผลนั้น Frammartino เคยให้สัมภาษณ์ว่า ต่อให้เป็นพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุต่างๆ ทุกสิ่งล้วนมีคุณค่าและศักดิ์ศรีเทียบเท่ากับมนุษย์
ตรงจุดนี้หากเราย้อนกลับไปดูประวัติของเขากันอีกสักนิดจะพบว่าก่อนที่จะมาเป็นผู้กำกับหนัง Frammartino เคยร่ำเรียนทางด้านสถาปัตยกรรมมาก่อน นั่นอาจเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมหนังของเขาถึงมีตัวเอกเป็นธรรมชาติ มากกว่าบทสนทนาเหมือนในหนังที่พบเห็นได้ทั่วไป
Il Buco หรือ The Hole (2021)
หลังจากประสบความสำเร็จชื่อของ Frammartino ก็หายไปจากวงการหนังอีกครั้งนานถึง 11 ปีก่อนที่จะกลับมากับผลงานล่าสุดอย่าง Il Buco หรือ The Hole (2021) ที่ว่ากันตามตรงหนังของเขามีความเป็นสารคดีมากกว่าหนังฟิกชัน เพราะผลงานทั้งหมดที่ผ่านมาล้วนวนเวียนอยู่กับการเฝ้ามองธรรมชาติ และตึกรามบ้านช่องของผู้คน โดยไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆ หรือต่อให้มีคนดูก็ไม่สามารถเข้าใจในความหมายของมันได้ (ฉากคนพูดคุยกันในหนังของเขาล้วนไม่มีซับไตเติลมาอธิบายอะไรทั้งสิ้น)
มันจึงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมาก หากดูจากผลงานและลายเซ็นของเขา หนังทั้งหมดแทบจะเรียกได้ว่าอยู่ชิดติดขอบของคำว่า ‘นอกกระแส’ อย่างถึงที่สุด แต่สำหรับ Il Buco มันมีเหตุผลสำคัญอยู่ที่หากไม่ได้ฉายในระบบโรงภาพยนตร์มนตร์ขลังและพลังอันน่าพิศวงของมันจะมลายหายไปจนหมดสิ้น
Il Buco คือผลงานลำดับที่ 3 ของ Frammartino ในรอบ 10 กว่าปี ที่หากมองแค่ผิวเผินแล้วอาจเข้าใจว่ามันเป็นหนังหรือสารคดีที่ว่าด้วยการสำรวจถ้ำของคนกลุ่มหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้หยิบยกมาจากเหตุการณ์จริงอย่างการสำรวจถ้ำ Bifurto Abyss ที่มีความลึกถึง 700 เมตรในปี 1961 ฉะนั้นแล้วนี่คือหนังย้อนยุคที่เขาสร้างขึ้นมาเพื่อบันทึกภาพของคณะนักสำรวจถ้ำว่าแท้จริงแล้วพวกเขาทำอะไรกันบ้าง
แน่นอนว่าด้วยสไตล์การกำกับอันนิ่งเรียบของ Frammartino หนังเรื่องนี้จึงไม่มีทั้งฉากลุ้นระทึกและเสียงเพลง สิ่งเดียวที่มีอยู่ในงานจึงกลายเป็นการจับจ้องกลุ่มคนที่กำลังทำอะไรบางอย่างท่ามกลางความมืดภายในถ้ำ พร้อมกับเสียงธรรมชาติที่เกิดจากสถานที่และการกระทำต่างๆ ของตัวละคร ที่สำคัญคือ เขาไม่ลืมที่จะใส่ชายชราเลี้ยงสัตว์ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวลงไปในงานนี้ด้วย (หนังของ Frammartino ทุกเรื่องล้วนมีคนเลี้ยงสัตว์เป็นองค์ประกอบสำคัญของงาน)
โดยเขาให้เหตุผลว่า คนเลี้ยงสัตว์เปรียบเสมือนผู้บุกเบิกมาตั้งแต่ยุคโบราณ ซึ่งในอีกทางพวกเขาคือนักสำรวจในอีกความหมายหนึ่ง หากเรานำสิ่งที่ผู้กำกับบอกเล่ามาตีความกับพล็อตเรื่องที่ว่าด้วยการเข้าถ้ำ สิ่งที่ Frammartino ต้องการจะสื่อจริงๆ อาจเป็นการแสดงให้เห็นถึงรอยต่อของยุคสมัยด้วยการจ้องมองผ่านเลนส์ไปยังตัวละครทั้งสองฝั่งอย่างชายชราและกลุ่มนักสำรวจ ซึ่งเปรียบเสมือนด้านตรงข้ามของกันและกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ผู้เขียนคิดว่าเป็นวาระซ่อนเร้นที่ทรงพลังที่สุดคือ การที่ Frammartino เลือกจะใช้ฉากเปิดเรื่องด้วยภาพของคนในท้องถิ่นที่รวมตัวกันเพื่อชมภาพฟุตเทจงานเฉลิมฉลองการเปิดตึกสูง Pirelli Tower ที่เพิ่งสร้างเสร็จในมิลาน ซึ่งขณะนั้นเป็นตึกระฟ้าที่สูงที่สุดในอิตาลี
ฉากดังกล่าวอาจปรากฏขึ้นไม่นานนักหากเทียบกับระยะเวลาของหนัง แต่เมื่อมองย้อนกลับไปยังผลงานก่อนหน้านั้นของเขาทั้งหมด สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ Frammartino เลือกที่จะใช้เซ็ตติ้งในการถ่ายทำหนังของเขาอยู่ใน Calabria ซึ่งเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ยากจนที่สุดของอิตาลี
หากมองในแง่นี้แล้ว Il Buco จึงไม่ใช่หนังที่ว่าด้วยการสำรวจถ้ำเพียงอย่างเดียว เพราะใจความหลักของมันอาจเป็นการพูดถึงความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในยุคเฟื่องฟูเศรษฐกิจระหว่างคนที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองกับคนที่อาศัยอยู่ในชนบทอันห่างไกล
ถึงกระนั้น ข้อน่าสังเกตสำคัญของ Il Buco อาจมีอยู่ด้วยกันอีก 2 ข้อ หนึ่งคือ กลุ่มคณะนักสำรวจถ้ำเป็นนักแสดงที่ถูกจ้างมาเล่นหรือเป็นนักสำรวจถ้ำจริงๆ และสองคือ ถ้ำที่ปรากฏอยู่ในเรื่องเป็นสถานที่ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในการถ่ายทำหรือเป็นถ้ำจริงๆ
แน่นอนว่าสำหรับ Frammartino ที่ได้ชื่อว่านักทำหนังสายมานุษยวิทยา ทั้งหมดล้วนเป็นของจริง ซึ่งเขาให้สัมภาษณ์ถึงเบื้องหลังการถ่ายทำว่า กลุ่มคณะนักสำรวจที่ผู้ชมเห็นเป็นนักสำรวจจริงๆ และที่สำคัญคือพวกเขาไม่ใช่นักแสดงอาชีพด้วย โดย Frammartino ให้เหตุผลว่าเขาไม่ได้ต้องการที่จะบันทึกเรื่องราวเลียนแบบทีมนักสำรวจในปี 1961 หากแต่เป็นเรื่องราวของกลุ่มคณะนักสำรวจนี้จริงๆ ฉะนั้นนอกจากการปีนป่ายถ้ำแล้ว เราจะได้เห็นกิจวัตรอย่างอื่นของพวกเขาด้วย
ส่วนคำถามที่ว่าหนังเรื่องนี้ใช้ถ้ำในการถ่ายทำจริงหรือเปล่า Frammartino ได้ให้คำตอบว่า ถ้ำที่ปรากฏอยู่ในเรื่องคือ ถ้ำ Bifurto Abyss จริงๆ และเขาเตรียมงานโดยการขึ้นลงถ้ำเพื่อร่างภาพไอเดียคร่าวๆ ร่วมกับมือเขียนบทอีกคนอย่าง Giovanna Giuliani อยู่นานถึง 2 ปีก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำ
ที่สำคัญคือหนังเรื่องนี้ต้องจัดไฟให้น้อยที่สุด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมฉากภายในถ้ำถึงได้มืด และมีแค่แสงไฟหลักมาจากหมวกนิรภัยของนักสำรวจเพียงอย่างเดียว เพราะสำหรับเขาแล้วถ้ำธรรมชาติจริงๆ ควรมืดจนมองไม่เห็นอะไร ไม่ใช่มีไฟติดอยู่ตามทางเดินเหมือนในปัจจุบัน
นอกจากนี้ Frammartino ยังบอกอีกว่า เขาสนใจในการสำรวจถ้ำ เพราะมันเป็นเหมือนการก้าวเข้าไปในพื้นที่ที่ไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะไปสิ้นสุดลงตรงไหน พร้อมกับพูดเป็นนัยว่าเพราะความไม่รู้เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ทำให้คนออกตามหาอะไรบางอย่างใต้ผืนดินอยู่เสมอ
จากทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา สิ่งที่สัมพันธ์กันอย่างเหนียวแน่นระหว่างเรื่องราวของ Il Buco และโรงภาพยนตร์ คือมันเป็นพื้นที่ปิดที่รายล้อมไปด้วยความมืดอันเงียบงัน ซึ่ง Frammartino ก็เลือกที่จะใช้องค์ประกอบธรรมชาติของสถานที่เป็นตัวขับเคลื่อนประสบการณ์ของผู้ชมให้ไปในทิศทางเดียวกับนักสำรวจ ซึ่งเป็นสิ่งที่หนังเรื่องอื่นยากที่จะทำเลียนแบบได้
แม้บางครั้งการจ้องมองความเงียบงันอาจเป็นสิ่งที่สุดแสนจะเนิ่นนานทานทน แต่เชื่อได้เลยว่าทริปร่วมเดินทางกับ Frammartino ในครั้งนี้จะมอบประสบการณ์ทางด้านภาพยนตร์แบบใหม่ให้กับผู้ชมอย่างแน่นอน ถ้าจะพูดให้ถูกนี่อาจเป็นโอกาสแค่ครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายที่จะได้เข้าไปสำรวจโลกผ่านสายตาของเขาในโรงภาพยนตร์
Il Buco เข้าฉายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้
รับชมตัวอย่างได้ที่:
- Il Buco เปิดตัวครั้งแรกที่เทศกาลหนังเวนิสปี 2021 และได้รับรางวัล Special Jury Prize ในปีนั้นไปครอง
- Il Buco ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 20 หนังยอดเยี่ยมแห่งปีของนิตยสาร Film Comment (นิตยสารหนังที่ได้รับการยกย่องที่สุดในอเมริกา)
- นอกจากทำหนังแล้ว Frammartino ยังเป็นอาจารย์สอนทางด้านภาพยนตร์ในมหาวิทยาลัยแบร์กาโมอีกด้วย และนั่นอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงทำหนัง 10 ปีต่อ 1 เรื่องได้