“เราไล่เขาออกไม่ลงหรอกค่ะ เราตัดสินใจว่าจะเก็บทุกคนไว้ให้ได้มากที่สุด แต่ก็ต้องมีบางคนที่ยอมสละอะไรมากกว่าคนอื่น”
คำกล่าวทั้งน้ำตาของ พญ.นิตยา ภานุภาค ผู้อำนวยการบริหาร สถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้าน HIV (Institute of HIV Research and Innovation: IHRI) ในวันที่ต้องปิดสำนักงานและลดเงินเดือนพนักงาน หลังคำสั่งตัดงบช่วยเหลือต่างประเทศของ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กลายเป็นฟ้าผ่าลงมาที่องค์กรของเธอ ซึ่งนอกจากจะมีบทบาทด้านงานวิจัยที่มีส่วนขับเคลื่อนนโยบายสาธารณสุขแล้ว ยังเป็นหนึ่งใน ‘เส้นชีวิต’ และ ‘ความหวัง’ ของผู้ติดเชื้อ HIV และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในไทยด้วย
IHRI กับบทบาทรับมือ HIV ในไทย
โรคเอดส์และการติดเชื้อ HIV เป็นหนึ่งในภัยคุกคามสุขภาพคนไทยมายาวนานกว่า 40 ปี ในปี 2023 ไทยมีผู้ติดเชื้อ HIV กว่า 5.8 แสนคน ในจำนวนนี้ได้รับการรักษาประมาณ 4.7 แสนคน ขณะที่มีผู้เสียชีวิตประมาณ 12,000 คน
ที่ผ่านมานอกจากภาครัฐ ยังมีองค์กรภาคประชาสังคมที่ให้ความสำคัญและพยายามช่วยรับมือและป้องกันการแพร่เชื้อ HIV ด้วยการตรวจและการให้ยา PrEP (Pre-Exposure Prophylaxis) หรือยาต้านไวรัส
อย่างไรก็ตาม หลายองค์กรภาคประชาสังคม ขับเคลื่อนการทำงานเหล่านี้ด้วยงบประมาณสนับสนุนจากนอกประเทศ รวมถึงมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ที่มุ่งมั่นกระจายความช่วยเหลือไปยังทั่วโลกตั้งแต่ยุคสงครามเย็น และไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับความช่วยเหลือ
แต่ความช่วยเหลือที่มีมาต่อเนื่องหลายสิบปี หายไปในชั่วข้ามคืน หลังการลงนามคำสั่งฝ่ายบริหาร (Executive Order) ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ตัดงบประมาณช่วยเหลือต่างประเทศและปิด USAID อันเป็นหน่วยงานช่วยเหลือหลักของรัฐบาลสหรัฐฯ
หนึ่งในองค์กรภาคประชาสังคมของไทยที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก คือสถาบันเพื่อการวิจัยและนวัตกรรมด้านเอชไอวี (Institute of HIV Research and Innovation: IHRI) ที่เริ่มต้นการทำงานด้าน HIV มาตั้งแต่ 23 ปีที่แล้ว ในช่วงที่ HIV มีการระบาดสูงมาก
IHRI มีบทบาทสำคัญในการผลักดันงานวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ ตั้งแต่การป้องกันการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก ไปจนถึงการเข้าถึงยา PrEP เพื่อป้องกันการติดเชื้อในกลุ่มเสี่ยง และมุ่งเน้นการทำงานกับกลุ่มประชากรที่ได้รับผลกระทบจาก HIV ในไทย ทั้ง กลุ่มรักร่วมเพศ พนักงานบริการทางเพศ หรือผู้ใช้สารเสพติด
นอกจากนี้ยังมีส่วนในการทำงานวิจัยที่ทำกับชุมชนต่างๆ เพื่อออกแบบบริการทางการแพทย์และการจัดการกับนโยบายสุขภาพที่ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหา HIV ได้จริงๆ
โดยข้อมูลจากการวิจัยทั้งหมดจะใช้ในการพัฒนาศักยภาพของกลุ่มคนต่างๆ เช่นผู้คนในชุมชน เพื่อให้สามารถจัดบริการสุขภาพ เช่น การเจาะเลือดตรวจ HIV ด้วยตนเอง หรือให้ยา PrEP
“ที่ผ่านมาสิ่งที่เราทำหลักๆ และเป็นผลงานที่ประเทศไทยมีความภาคภูมิใจในประเด็น HIV คือโมเดลการทำงานแบบที่เรียกว่า Key Population-Led Health Services (KPLHS) คือการที่ให้กลุ่มประชากรเป็นผู้นำในการจัดบริการสุขภาพของเขาเอง” พญ.นิตยา กล่าว
ผลจากการทำงานของ IHRI ทำให้องค์กรภาคประชาสังคม ซึ่งบุคลากรบางคนเป็นพนักงานบริการทางเพศ หรือเป็นกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ หรือผู้ใช้สารเสพติด สามารถที่จะลุกขึ้นมาจัดบริการด้าน HIV ได้เอง โดยการตรวจ HIV ทั่วประเทศไทย เกิน 60% ทำโดยองค์กรภาคประชาสังคม
สำหรับเชื้อ HIV ตอนนี้สามารถป้องกันได้ด้วยการใช้ยา PrEP โดยกินวันละเม็ดก็ช่วยป้องกัน HIV ได้ถึง 99.9% ซึ่งจากการตรวจสอบที่ผ่านมา พบว่า 80% ของคนที่ใช้ยา PrEP ก็ได้รับการให้ยาโดยองค์กรภาคประชาสังคมเช่นเดียวกัน
การดำเนินงานของ IHRI ยังทำให้ได้ข้อมูลที่มาช่วยในการปรับเปลี่ยนนโยบาย ส่งผลให้ทาง สปสช. ยินดีที่จะทำให้องค์กรภาคประชาสังคมได้รับการขึ้นทะเบียนตามมาตรา 3 ของ พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ให้เป็นหน่วยบริการที่สามารถจัดบริการลักษณะนี้ และ สปสช. สามารถเบิกจ่ายงบประมาณไปได้
“เราใช้ข้อมูลตรงนี้ทำให้กระทรวงสาธารณสุขทำงานกับสภาวิชาชีพต่างๆ แล้วก็ออกประกาศที่ระบุว่า ผู้ที่ไม่ได้จบหมอจบพยาบาล ก็สามารถเจาะเลือด ตรวจ HIV และให้ยา PrEP ได้ ซึ่งทำให้ไทยเป็นประเทศต้นแบบที่มีการดำเนินงานด้าน HIV ที่ก้าวหน้ามากกว่าประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ อีกทั้งยังเป็นการยอมรับและให้เกียรติองค์กรภาคประชาสังคมในการร่วมจัดบริการสาธารณสุขกับทางภาครัฐ”
สหรัฐฯ ตัดงบ กระทบแค่ไหน?
ในประเทศไทย การทำงานของภาคประชาสังคมเกือบทั้งหมด มาจากงบประมาณของสหรัฐฯ ซึ่ง IHRI เองก็ถือเป็นองค์กรภาคประชาสังคม แต่มีการทำงานวิจัยและขับเคลื่อนนโยบายด้านสาธารณสุขด้วย
งบประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ ของ IHRI มาจาก USAID ที่ใช้ในการทำงานกับองค์กรภาคประชาสังคม ตลอดจนการทำวิจัย เก็บข้อมูลและนำเสนอทางเลือกอื่นๆ ในการจัดระบบประกันสุขภาพให้เข้มแข็งขึ้น
นอกจากนั้นยังมีงบประมาณ 10% ที่ได้รับมาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา (NIH) ซึ่งจะใช้ในงานวิจัย ทั้งการหาวิธีการที่ทำให้ตรวจหา HIV ได้เร็วขึ้น, การหาวัคซีน หรือยารักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ใหม่ๆ ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม งบประมาณที่ IHRI ใช้สำหรับการจัดบริการ เช่นการตรวจ HIV และให้ยา PrEP นั้นมาจาก สปสช. ทำให้งบประมาณของทางสหรัฐฯ เป็นเหมือนเงินกระตุ้นในการวิจัยเชิงปฏิบัติการ และการเก็บข้อมูลเพื่อนำเสนอและขับเคลื่อนนโยบายด้านสาธารณสุข
แต่สิ่งสำคัญที่เกิดผลกระทบจากคำสั่งของทรัมป์ คือ ‘คน’ หรือพนักงานผู้ให้บริการ เนื่องจากทาง สปสช. ยังไม่มีการจ่ายค่าการจัดบริการโดยองค์กรภาคประชาสังคม ทำให้กลุ่มคนที่ทำงานตรงนี้ทั้งหมดซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ จะ ‘ไม่มีเงินเดือน’
พญ.นิตยา ชี้ว่า ท้ายที่สุดแล้วก็ขึ้นอยู่กับว่าองค์กรภาคประชาสังคมไหนจะมีสายป่านที่ยาวและสามารถที่จะเอาเงินจากการทำโครงการอื่น มาหล่อเลี้ยงเจ้าหน้าที่ในองค์กรของตนเองให้ยังคงปฏิบัติงานต่อไปได้มากน้อยแค่ไหน
“ในเมืองไทยเรายังโชคดีพอสมควร เพราะว่าแต่ละองค์กรภาคประชาสังคมยังมีงบประมาณอื่นอยู่บ้าง แต่แน่นอนว่า อย่างเช่น IHRI ที่เงิน 40% หายไปในตอนนี้ แล้วเราจะสามารถทำให้คนที่ทำงานจำนวนเท่าอยู่ด้วยกันต่อไปได้อย่างไร ก็เป็นสิ่งที่แต่ละองค์กรต้องบริหารจัดการอย่างเร่งด่วน” เธอกล่าว
งานวิจัยขัดแนวคิดทรัมป์อาจถูกยกเลิก
งบอีกส่วนที่กำลังจะถูกผลกระทบตามมา คือโครงการวิจัยที่ทำกับกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ เนื่องจากรัฐบาลทรัมป์ กำลังตรวจสอบว่า NIH มีการให้งบประมาณวิจัยด้านใดที่ขัดต่อ ‘แนวคิด’ ของทรัมป์ เช่น เรื่องของการยอมรับเพียง 2 เพศ คือชายและหญิง หรือไม่ โดยที่ผ่านมามีหลายโครงการวิจัยถูกยกเลิกไปแล้ว
พญ.นิตยา กล่าวว่า ในช่วงสัปดาห์แรกที่ได้ยินเรื่องคำสั่งพิเศษฝ่ายบริหารของทรัมป์ เรื่องการกำหนดสองเพศหรือการยกเลิก DEI โดยมองว่าเป็นเรื่องโกหกและบ่อนทำลาย และให้หยุดการทำงานทุกอย่างที่เกี่ยวกับประเด็นเหล่านี้ทันที องค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานเกี่ยวข้องกับประเด็นเหล่านี้ ต่างตกอยู่ในความตกใจ เศร้าใจ และรู้สึกเหมือนพ่ายแพ้ ทำอะไรต่อไม่ได้
เธอเผยว่าแหล่งทุนต่างๆ ที่มีความเชื่อมโยงกับรัฐบาลสหรัฐฯ ให้ข้อแนะนำว่า ต่อไปการทำงานเรื่องกลุ่ม LGBTQIA+ หรือในประเด็น DEI ต้องซ่อนและพูดเรื่องเหล่านี้ไม่ได้เลย โดยอาจใช้เพียงคำว่า ทำงานในประเด็นที่เกี่ยวกับผู้ใหญ่ (Adult) เท่านั้นพอ
“อันนั้นมันคือคุณค่าของการทำงานทุกวันนี้ของเรา แล้วจะทำให้เราต้องซ่อนและไม่พูดสิ่งเหล่านั้น แต่ยังคงทำงานต่อไป เท่ากับเราแพ้หมดเลย แพ้จากข้างในเลย”
ในช่วงสัปดาห์ที่สองและสาม ทาง IHRI เริ่มกังวลถึงเรื่องงบประมาณสนับสนุนที่หายไป แม้ว่าจะยังมีงบจากส่วนอื่นอยู่ แต่พอประเมินจริงๆ จึงเข้าใจว่าไม่ใช่งบก้อนใหญ่นัก และองค์กรยังต้องพึ่งพาเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ อยู่ค่อนข้างมาก
“เราเริ่มตระหนกและเริ่มชั่งน้ำหนักว่าจะเป็นเด็กดีแบบองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ หรือไม่ ที่ตัดสินใจไม่ทำสิ่งที่รัฐบาลสหรัฐฯ บอกว่าไม่ให้ทำ เพื่อหวังว่าเมื่อพ้น 90 วันไปแล้วจะยังได้รับงบประมาณอีกครั้ง”
อย่างไรก็ตาม พญ.นิตยา เผยว่า ท้ายที่สุด IHRI ตัดสินใจเลือกตัดงบประมาณของสหรัฐฯ โดยไม่คิดว่าหลัง 90 วันนี้จะได้งบประมาณสนับสนุนกลับมา และต่อให้กลับมาก็ไม่คาดหวังว่าจะกลับมาเท่าเดิม
“เราตัดสินใจดึงเอาพลังและคุณค่าที่เรายึดถือกลับมาใหม่ แสดงให้มันชัดเจนกว่าเดิม และมุ่งไปหาทุนใหม่ แน่นอนว่าไม่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย อีกทั้งทุกองค์กรที่ได้รับผลกระทบต่างก็มองหาทุนใหม่เช่นเดียวกัน ซึ่งแผนในระยะกลางหรือยาวของเรา คือการมีงบประมาณใหม่ๆ จากแหล่งทุนอื่นหรือประเทศอื่น แต่ก็ไม่ได้มีความคาดหวังหรือเชื่อมั่นขนาดนั้น ว่าประเทศอื่นๆ เช่นในยุโรป จะไม่เอนเอียงนโยบายไปฝ่ายขวามากขึ้นเรื่อยๆ”
ไม่อยากไล่ใครออก
พญ.นิตยา กล่าวว่า สิ่งที่ต้องทำทันทีหลังจากตัดสินใจไม่หวังพึ่งงบจากสหรัฐฯ คือการพิจารณาว่า สามารถจะเพิ่มรายรับและลดรายจ่าย ณ ปัจจุบันทันที ในด้านใดได้อีกบ้าง
โดยหนทางหนึ่งคือการปิดสำนักงาน เพื่อลดรายจ่ายเรื่องของค่าเช่า แต่ยังคงเปิดดำเนินการในส่วนของคลินิกพริบตาแทนเจอรีน (Pribta Tangerine) ซึ่งเป็นคลินิกของ IHRI ที่ให้บริการตรวจและดูแลสุขภาพทางเพศไว้ เพราะนั่นคือหนทางเดียวที่ยังคงสามารถสร้างรายได้อยู่
อีกหนทางคือการลดเงินเดือนพนักงาน และการปลดพนักงานออก ซึ่งเป็นเรื่องที่ ‘ยาก’ แก่การตัดสินใจ
โดย พญ.นิตยา กล่าวทั้งน้ำตาว่า “การเอาคนออกไม่ใช่เรื่องง่าย” เพราะคนที่เลือกมาทำงานกับองค์กรภาคประชาสังคม ไม่ใช่แค่ใครก็ได้ที่เรียนจบและสมัครมาทำงาน ในขณะเดียวกัน คนกลุ่มนี้ก็ไม่ใช่คนที่จะไปทำงานอื่นๆ ได้ง่ายเช่นกัน ดังนั้นทาง IHRI จึงตัดสินใจไม่ปลดพนักงานแต่ใช้ทางเลือกในการลดเงินเดือนแทน
“เราตัดสินใจว่าเราจะเก็บทุกคนไว้ให้มากที่สุด ที่จะไปกับเราได้ โดยที่ต้องมีบางคนที่ยอมสละอะไรบางอย่างมากกว่าคนอื่น จึงใช้ระบบการลดเงินเดือนตามระดับขั้น คือคนที่เงินเดือนต่ำกว่าจุดหนึ่งอาจจะดำรงชีพไม่ได้ เราก็จะไม่ไปแตะ ซึ่งมีราว 20-25% ของคนในองค์กร ส่วนที่เหลือก็จะลดไปตามระดับขั้น 5-10% ไปจนถึง 40% ในระดับบริหาร
“เราคาดว่าเราจะพยายามอยู่แบบนี้ให้ได้ประมาณ 3-6 เดือนที่จะลดเงินเดือน ในขณะที่พยายามเพิ่มรายได้ แล้วถ้ารายได้ที่เพิ่มมาเห็นเป็นรูปธรรม จึงจะค่อยๆ ลดสัดส่วนในการลดเงินเดือนพนักงาน ซึ่งต้องอาศัยใจของพนักงานทุกคนที่เดินไปด้วยกัน โดยจากพนักงานทั้งหมด 90 คน ตอนนี้มีคนที่ตัดสินใจไปต่อด้วยกัน 86 คน”
สำหรับพนักงานของ IHRI ราว 40-45% รับเงินเดือนจาก USAID ซึ่งการยุติสัญญาคนเหล่านี้ แม้ว่าอาจจะเป็นการลดค่าใช้จ่ายไปได้ แต่ในความเป็นจริงก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะคนที่ทำงานทั้งในส่วนของคลินิก หรือคนที่ทำงานโปรแกรมหรือทำงานวิจัยในพื้นที่ ต่างมีความเชื่อมโยงกัน เนื่องจากก่อนที่จะทำโมเดลการจัดการบริการด้านสุขภาพให้แก่ชุมชนต่างๆ เพื่อจะนำไปบอกกับทางกระทรวงสาธารณสุขหรือ สปสช. ทาง IHRI ต้องลองโมเดลเหล่านี้ที่คลินิกพริบตาก่อนเสมอ
“เพราะเราไม่ใช่แค่คลินิกที่รับผู้มาใช้บริการและมีค่าใช้จ่ายเข้ามา แต่ยังมองเป็นห้องทดลองไอเดียนอกกรอบ ซึ่งหากไอเดียไหนทำได้จริงก็จะไปนำเสนอหรือชักชวนองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ ว่าให้มาลองทำแบบนี้”
อย่างไรก็ตาม หนทางในการอยู่รอดของ IHRI หลังพ้นจากระยะ 6 เดือนนี้ไป พญ.นิตยา กล่าวว่า ช่วง 3-6 เดือนนี้ จะเน้นการเพิ่มรายรับ โดยสิ่งใดที่อยู่ในการควบคุมของ IHRI ก็จะต้องทุ่มทุนทุ่มแรงกับตรงนั้นให้มากขึ้น เปรียบเทียบให้เห็นภาพ คือบางองค์กรมีการขายอาหาร ก็อาจจะไปทุ่มกับเรื่องของการขายอาหาร เพื่อเอาเงินมาหล่อเลี้ยงส่วนอื่นๆ ขององค์กร
แต่สำหรับ IHRI คือการให้บริการ ก็จะเน้นที่การจัดบริการให้มากขึ้น เช่น เพิ่มเรื่องของการตรวจ HIV หรือบริการสำหรับต่างชาติ ทั้ง Telehealth และออนไลน์ ซึ่งกลุ่มคนทำงานที่ไม่ได้อยู่ในส่วนของคลินิก ตอนนี้ก็จะต้องมาลงแรงในการจัดบริการตรงนี้ โดยมีการสลับช่วงเวลาทำงานกันกับการทำงานวิจัยอื่นๆ ที่ยังทำอยู่
“เดิมรายรับของคลินิกอยู่แค่ประมาณ 30% เราก็หวังว่าจะเพิ่มมาเป็น 50-60% เพื่อที่จะปิดช่องว่างทั้งหมดที่เรามีอยู่ พอมันเป็นวิกฤตที่บีบให้เราหาทางออก มันก็ทำให้เราเห็นทางออกหลายอย่างเพิ่มขึ้น อย่างเช่น การทำการตลาดของทางคลินิกกับคนที่เดิมมุ่งเน้นในประเทศเป็นหลัก ก็จะไปเพิ่มในสัดส่วนของผู้ใช้บริการที่มาจากต่างชาติ ซึ่งมีกำลังจ่ายที่มากขึ้น
“เรายังคงยึดคุณค่าของเราได้อยู่ว่าจริงๆ เรามีคลินิกนี้ เรามีนโยบายที่อยากให้คนไทยใช้สิทธิ์ที่ สปสช. มีให้ คือคลินิกเรา คนมาใช้บริการอาจจะเบิก สปสช. ได้ แต่ในขณะเดียวกันบางคนที่ไม่ใช่คนไทยหรือไม่ใช่ต่างชาติที่มีกำลังจ่าย เช่น เด็กหรือเยาวชน เราก็จะไปเน้นในโครงการส่งไม้ต่อ pay it forward คือผู้มาใช้บริการสามารถ ‘จ่ายเผื่อ’ สำหรับคนที่ไม่มีกำลังจ่ายได้ เพื่อให้สามารถได้รับบริการ”
เบิก สปสช. ไม่ได้ หลุดการตรวจรักษา
ที่ผ่านมาระบบสาธารณสุขของไทยนั้นมีช่องว่างในหลายจุด และ IHRI ใช้งบประมาณจากนอกประเทศ รวมถึง USAID ในการมาช่วยปิดช่องว่างเหล่านั้น เช่นการตรวจ HIV โดยมีความเสี่ยงที่จะรับเชื้อในอนาคต ทางคลินิกพริบตาก็จะแนะนำให้ทานยา PrEP ซึ่งสิทธิ์ทั้งของ สปสช. ประกันสังคม หรือข้าราชการ ต่างก็ครอบคลุมค่าบริการตรงนี้ หมายความว่า สามารถใช้บริการได้ฟรีหากเป็นคนไทย
แต่สิ่งที่ขาดคือ กรณีของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่สิทธิ์ต่างๆ ยังไม่ครอบคลุมการตรวจรักษาตรงนี้ ซึ่งที่ผ่านมาทางคลินิกพริบตา มีงบประมาณจากนอกประเทศมาช่วยปิดช่องว่างตรงนี้
“ตรงนี้อย่างน้อยๆ มันทำให้สร้างนิสัยของคนที่มาใช้บริการ ว่าควรคัดกรองโรคต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ เงินหรือค่าใช้จ่ายไม่ควรมาเป็นอุปสรรคที่ทำให้รู้สึกว่า ไม่ต้องรู้ก็แล้วกันว่ามีโรคอะไรบ้าง ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ในที่สุดก็จะมีการเสนอต่อ สปสช. ว่า การตรวจทุกคนโดยไม่มีเรื่องค่าใช้จ่ายมาเป็นอุปสรรค ก็จะสามารถมองเห็นได้ว่ากรณีของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นเยอะขนาดไหน และเมื่อเจอก็ได้รักษา และทำให้การส่งต่อเชื้อนั้นลดลง”
อีกอันคือบริการฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศ ซึ่ง IHRI ใช้งบ USAID ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ในการจัดบริการ และเก็บข้อมูล ก่อนจะนำผลที่ได้เสนอต่อ สปสช. ทำให้มีการเตรียมพร้อมที่จะทำให้การบริการสำหรับการข้ามเพศอยู่ในสิทธิประโยชน์ แต่กำลังอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนที่จะเริ่มพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่จะให้บริการทั่วประเทศให้มีความพร้อม ซึ่งยังไม่แน่ว่าจะเริ่มได้เมื่อไหร่และเบิกจ่ายงบประมาณอย่างไร แต่ก็มาโดนตัดงบจาก USAID เสียก่อน
ผลกระทบที่ตามมา หมายความว่า หากมีผู้มาใช้บริการสำหรับการข้ามเพศที่คลินิกพริบตา ณ ขณะนี้ อาจจะต้องมีค่าใช้จ่ายในเรื่องค่าบริการของการตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อตรวจดูความปลอดภัยและระดับของฮอร์โมนเพื่อการข้ามเพศ ซึ่งในอนาคตสิทธิ์ของ สปสช. อาจจะครอบคลุมตรงนี้ แต่ตอนนี้ยังไม่มี
อีกผลกระทบหนึ่งคือ ผู้มาใช้บริการตรวจรักษาบางส่วนอาจมีกำลังพอจ่ายได้ แต่ในครั้งต่อไปไม่มีกำลังและเลือกไม่มาใช้บริการ ทำให้หลุดจากการตรวจรักษาที่ต้องการความต่อเนื่อง
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของวัตถุประสงค์ซ้อนสำหรับบริการเพื่อการข้ามเพศ ที่ไม่ได้ต้องการแค่อยากให้คนมารับฮอร์โมนหรือมาตรวจระดับฮอร์โมน แต่ต้องการให้กลุ่มคนข้ามเพศซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการรับเชื้อ HIV เข้ามาที่คลินิกเพื่อตรวจ HIV เพราะหากอยู่ดีๆ บอกให้คนกลุ่มนี้มาตรวจก็จะไม่มีใครมา เพราะเท่ากับเป็นการตีตราหรือเลือกปฏิบัติ ว่าทำไมกลุ่มคนข้ามเพศจึงต้องมาตรวจ
“การตรวจ HIV และให้ยา PrEP เป็นสิ่งที่เสริมสำหรับการเข้ามารับบริการข้ามเพศ แต่หากไม่มีคนมารับบริการเพราะไม่มีกำลังจ่าย ก็จะทำให้คนกลุ่มนี้หลุดจากระบบการตรวจรักษา หรือการป้องกัน HIV ไป ซึ่งอาจทำให้เกิดกรณีการเสียชีวิตหรือเจ็บป่วยจากการติดเชื้อ HIV”