ชาเขียวฟื้นแล้วแต่ยังไม่มากพอ ตัน ภาสกรนที มองหาน่านน้ำใหม่

หลังจาก ‘อิชิตัน’ ได้ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว พร้อมปรับกลยุทธ์มาร์เก็ตติ้ง เลิกทำแคมเปญหว่านแห โดยหันมาโฟกัสชาเขียวพร้อมดื่ม และไม่ได้จำกัดอยู่แค่ธุรกิจเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียว ยังได้ทำส่งออก และรับจ้างผลิต นับเป็นการบาลานซ์ความเสี่ยงด้านรายได้

จนถึงปัจจุบันธุรกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง จากการเปิดตัวโปรดักต์และแคมเปญใหม่ๆ ออกมากระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง

ตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ในช่วงครึ่งปีแรก 2565 เติบโตขึ้น 0.4% เรียกว่าเพิ่งผ่านพ้นช่วงที่ยากลำบาก จากสภาพเศรษฐกิจที่เริ่มกลับมาฟื้นตัว โดยกลุ่มชาพร้อมดื่มเติบโตสูงสุดในตลาด มีมูลค่าอยู่ที่ 6,865 ล้านบาท เติบโตขึ้น 25% สาเหตุหลักๆ มาจากผู้เล่นทั้งรายเล็กและรายใหญ่มีการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายเพื่อกระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่ขณะเดียวกันก็เริ่มมีการแข่งขันสูงในทุกๆ เซ็กเมนต์ด้วยเช่นกัน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

เมื่อเจาะลึกลงไป ในกลุ่มสินค้าชาพร้อมดื่มที่ขายดี ในช่องทางเทรดิชันนัลเทรด อันดับ 1 ยังเป็น อิชิตันน้ำผึ้งมะนาว ราคาขวดละ 10 บาท ตามด้วยอันดับ 2, 3 และ 4 คือ โออิชิ ในกลุ่มฮันนี่เลมอน อันดับ 5 อิชิตันฮันนี่เลมอน ราคา 20 บาท และอันดับ 6 เย็นเย็น ราคาขวดละ 10 บาท จะเห็นว่าสินค้าราคา 10 บาทได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี

ก่อนหน้านี้คู่แข่งหลักอย่าง ‘โออิชิ’ ได้ออก ‘ฮันนี่เลมอน น้ำตาล 0%’ ซึ่งออกมาแก้โจทย์คนไทยยังต้องการดื่มชาพร้อมดื่ม แต่บริโภคลดลงเพราะกังวลเรื่องสุขภาพ ซึ่งล่าสุดนั้นได้มีการออกมาเปิดเผยว่า โออิชิมีส่วนแบ่งทางการตลาดอันดับ 1 อยู่ที่ 48.3% โดยมียอดขายเชิงมูลค่าเติบโต 14% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (ข้อมูลจาก AC Nielsen เดือนกรกฎาคม 2564 – เดือนมิถุนายน 2565)

ขณะเดียวกันจากปัจจัยข้างต้นส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจครึ่งปีแรกที่ผ่านมา อิชิตันมีรายได้จากการขาย 3,058.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% มีกำไรสุทธิ 8.4% ขณะที่ไตรมาส 2 มีรายได้จากการขาย 1,616.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.3% มีกำไรสุทธิ 152.5 ล้านบาท ลดลง 7.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 46.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา

สะท้อนว่าเป็นการฟื้นตัว แม้ไตรมาส 2 จะเจอปัญหาต้นทุน จากราคาวัตถุดิบและราคาน้ำมันที่สูงขึ้น แต่บริษัทได้ปรับแนวทางบริหารให้มีประสิทธิภาพ ประกอบกับการขยายไลน์สินค้า ไอศกรีมเนสท์เล่อิชิตัน ชาเขียว ฮันนี่เลมอน ภายใต้การร่วมมือกับเนสท์เล่ ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก

แน่นอนว่าภาพรวมของรายได้เติบโตสวนทางตลาดเครื่องดื่มประเทศไทย และในครึ่งปีหลังที่เหลือคาดว่าจะเติบโตขึ้นจากความแข็งแกร่งของช่องทางการขายเทรดิชันนัลเทรด ประกอบกับโครงการคนละครึ่งของภาครัฐที่เข้ามาช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้รับอานิสงส์มาอย่างต่อเนื่อง

ขณะเดียวกัน บริษัทได้ประเมินเทรนด์เครื่องดื่มทางเลือกเพื่อสุขภาพ ยังมีโอกาสเติบโตและเป็นที่น่าสนใจของผู้ประกอบการ จะเห็นว่าปัจจุบันมีโปรดักต์ CFD ใหม่ๆ ออกมาสู่ตลาดจำนวนมาก รวมถึงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา ที่ผ่านมาได้สร้างความคึกคักในช่องทางโซเซียลมีเดียอย่างมาก จึงหันมาให้น้ำหนักกับทีม R&D ให้ความสำคัญตั้งแต่การพัฒนาสูตร คัดเลือกวัตถุดิบ รสชาติ ตลอดจนการทำการตลาดให้สอดคล้องกับอินไซต์ของผู้บริโภค

สำหรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง เตรียมเปิดตัวสินค้าใหม่หลายรายการ เริ่มตั้งแต่เครื่องดื่มเย็นเย็นรสบ๊วยผสมสมุนไพร ตามด้วยเครื่องดื่มอิชิตันโนชูก้า สูตรน้ำตาล 0% เพื่อสอดรับเทรนด์สุขภาพ รวมไปถึงเปิดตัวเครื่องดื่มกลุ่ม CBD หรือเครื่องดื่มกัญชง น้ำด่าง 8.5 ส่วนกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มชาเขียวที่มีอยู่เดิม ได้มีการปรับสูตรให้น้ำตาลลดลง เพื่อรองรับกับการปรับขึ้นภาษีน้ำตาลของภาครัฐที่จะเริ่มในวันที่ 1 ตุลาคม 2565

นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัวสินค้าแบรนด์ใหม่ ภายใต้ชื่อ ‘ตันซันซู’ เครื่องดื่มน้ำอัดลมสไตล์เกาหลี ในราคาขวดละ 20 บาท เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบกระแสเกาหลี ซึ่งยังเป็นที่นิยมในกลุ่มคนไทย ถือเป็นครั้งแรกที่อิชิตันจะเข้าไปทำตลาดเครื่องดื่มน้ำอัดลม ซึ่งมองว่าตลาดน้ำอัดลมยังมีศักยภาพ โดยในปี 2564 ในทุกๆ ช่องทางตลาดมีมูลค่า 4.5 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเริ่มวางจำหน่ายได้ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ โดยตั้งเป้าหมายทำยอดขายให้ได้ 500 ล้านบาทต่อปี

ขณะที่ธุรกิจรับจ้างผลิต (OEM) ล่าสุดเพิ่งปิดดีลลูกค้าใหม่เพิ่ม 2 ราย ได้แก่ เครื่องดื่ม Acer Predator Shot Vitamin Drink โดย บริษัท เอเซอร์ คอมพิวเตอร์ จำกัด และ Thaitanium Power Energy Drink เตรียมวางตลาดเร็วๆ นี้

ด้านตลาดส่งออก หลังโควิดเริ่มคลี่คลาย ในประเทศ CLMV เริ่มฟื้นตัว บริษัทได้กลับไปจัดแคมเปญกระตุ้นตลาดให้อิชิตันกลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง โดยมีพาร์ตเนอร์ให้การสนับสนุนทำโฆษณาสปอร์ตอีเวนต์ ทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์

ส่วนบริษัทร่วมค้า อิชิตัน อินโดนีเซีย ได้ปรับแผนธุรกิจด้วยการส่งผลิตภัณฑ์กลุ่มชาไทย และกาแฟโคลด์บรูว์บุกตลาด จากนี้ไปเตรียมนำชาไทยจากอิชิตัน อินโดนีเซีย ขยายเข้าไปเปิดตลาดใหม่ที่ฟิลิปปินส์ ผ่าน Alfamart กว่า 1,300 สาขา ภายใต้การสนับสนุนจาก SM Group Supermarket ใหญ่ที่สุดของประเทศฟิลิปปินส์ และ Rebisco Philippines โดยเชื่อว่าจะเป็นการสร้างฐานกำไรส่งกลับมาให้อิชิตันกรุ๊ป ขั้นต่ำอยู่ที่ราวๆ 75 ล้านบาทในปี 2565

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ข้างต้นจะช่วยผลักดันให้ยอดขายไตรมาส 3 และไตรมาส 4 เติบโตขึ้น และในสิ้นปี 2565 บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าอยู่ที่ 6,500 ล้านบาท หรือเติบโต 24% จากปีก่อนตามที่วางไว้

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH