หลังจากนำปารีส แซงต์ แชร์กแมง หรือเปแอสเช บุกมาคิดบัญชีแค้นกับทีม ‘ปีศาจแดง’ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้ถึงโรงละครแห่งความฝัน เนย์มาร์ เจ้าชายลูกหนังแห่งบราซิล ได้ให้สัมภาษณ์ในเรื่องที่ทำให้โลกลูกหนังทั้งใบต้องหันมาจับตามองเขาทันที
“สิ่งที่ผมต้องการที่สุดคือการได้เล่นกับเมสซีอีกครั้ง การที่จะสามารถสนุกกับเขาได้อีกครั้งในสนามฟุตบอล” เนย์มาร์กล่าว
“เขาสามารถเล่นในตำแหน่งของผมได้ ผมไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ แต่แน่นอนเลยว่าผมอยากจะเล่นกับเขาอีกครั้งในปีหน้า เราจะต้องทำให้ได้ในฤดูกาลหน้า”
ความรู้สึกของเนย์มาร์ไม่ถึงกับเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจ เพราะใครต่างรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองซูเปอร์สตาร์ที่มีความสนิทสนมกันเป็นอย่างดีจากช่วงเวลาที่ค้าแข้งร่วมกันในทีมบาร์เซโลนา
และแม้ว่าสตาร์ชาวบราซิลจะเคยตัดสินใจเด็ดขาดที่จะก้าวออกจากเงาของเมสซีด้วยการย้ายออกจากคัมป์นูมาสู่ปาร์คเดส์แพรงซ์ด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลก 222 ล้านยูโร เมื่อปี 2017 ซึ่งเป็นการย้ายทีมในแบบหักด้ามพร้าด้วยเข่า และสร้างความเจ็บปวดให้กับราชาลูกหนังชาวอาร์เจนไตน์อย่างมาก
แต่เหตุการณ์นั้นไม่ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่เลวร้ายแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้าม เมสซียังคงคิดถึงการเล่นคู่กับเนย์มาร์เสมอ นักฟุตบอลคนเดียวที่เขาต้องการที่จะให้ย้ายกลับมาเล่นร่วมกันในทีมบาร์ซาคือนักเตะอันดับหนึ่งแห่งยุคของบราซิล คนเดียวที่เชื่อว่าจะสามารถก้าวมาแทนที่เขาได้ในทีมบาร์ซา
น่าเศร้าสำหรับเมสซี ที่บาร์เซโลนาภายใต้การบริหารของ โจเซป มาเรีย บาร์โตเมว ไม่สามารถนำเนย์มาร์กลับมาได้สำเร็จ ซึ่งเรื่องนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้เมสซีเริ่มรู้สึกไม่มีความสุขในคัมป์นู และมีส่วนในความสัมพันธ์ที่แตกร้าวระหว่างทั้งสองฝ่าย จนนำไปสู่การแตกหักที่กลายเป็นประเด็นใหญ่ในรอบปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบันจากสัญญาของเมสซีที่เข้าสู่ปีสุดท้าย และสามารถเจรจาการย้ายทีมได้อย่างอิสระนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมที่จะถึงนี้เป็นต้นไป การออกมาส่งสัญญาณของเนย์มาร์จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง
เพียงแต่เรื่องนี้สามารถตีความได้หลากหลาย
เมสซีประกาศชัดเจนว่า ต้องการย้ายออกจากบาร์ซาแน่นอน หลังถูกสโมสรยื่นคำขาด ไม่ให้ย้ายทีมในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมา
เมสซีกับการผจญภัยครั้งใหม่ในปารีส
ในคำพูดของเนย์มาร์ หากจะตีความอย่างง่ายที่สุดคือ การร้องขอต่อฝ่ายบริหารของสโมสรเปแอสเชในการพาตัวเมสซีมาอยู่ด้วยกันให้ได้ที่ปาร์คเดส์แพรงซ์
ถ้าทำได้สำเร็จมันจะเป็นช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ ซึ่งน่าจะยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับกลุ่มทุนจากกาตาร์ที่ใช้ความพยายามเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ในการยกระดับสโมสรให้ขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของเกมฟุตบอล
การลงทุนมหาศาลในช่วงที่ผ่านมาของพวกเขาช่วยยกระดับให้เปแอสเชกลายเป็นทีมระดับโลก อยู่ในกลุ่มสโมสรระดับ Elite ของวงการ กวาดแชมป์ชนิดผูกขาดในบ้านเกิดที่ฝรั่งเศส และเกือบจะไปถึงจุดสูงสุดในการคว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลที่แล้วเมื่อไปได้ถึงรอบชิงชนะเลิศ เพียงแต่ไม่สามารถเอาชนะทีมที่แกร่งที่สุดอย่างบาเยิร์น มิวนิกได้
เปแอสเชยังเจาะตลาดกลุ่มแฟนบอลรุ่นใหม่ด้วยการร่วมมือกับแบรนด์ Jordan ในการออกแบบเสื้อผ้าชุดแข่งขันที่ทันสมัยโดนใจวัยรุ่นอีกด้วย
แต่ทั้งหมดนั้นไม่สามารถเทียบได้กับการที่พวกเขาจะมีสิทธิ์ในการได้ครอบครองนักเตะที่ได้รับการยกย่องว่าเก่งที่สุดแห่งยุค และอาจเก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของเกมฟุตบอลอย่างเมสซี
สิ่งที่น่าสนใจในคำพูด ซึ่งคือคำตอบของเนย์มาร์คือ ‘คำถาม’
สตาร์ชาวแซมบ้าถูกตั้งคำถามว่าอะไรจึงตอบแบบนี้?
เรื่องนี้ ฌูเลียง โลร็องส์ นักข่าวชาวฝรั่งเศส เปิดเผยว่า คำถามที่เนย์มาร์ถูกถามนั้น ไม่ใช่คำถามกว้างๆ ว่าเขาอยากจะมีโอกาสเล่นกับเมสซีอีกครั้งหรือไม่
แต่เป็นการถามแบบเจาะจงว่า “คุณอยากจะให้เมสซีย้ายมาร่วมทีมกับคุณที่ปารีสหรือไม่?”
นั่นหมายความว่าสิ่งที่เนย์มาร์อยากเห็นคือ การที่เมสซีย้ายมาสวมเสื้อชุดสีกรมท่าของเปแอสเช ไม่ใช่สีเลือดหมูของบาร์เซโลนา
ทั้งนี้ แม้จะเป็นสโมสรที่มีแบ็กอัพทางการเงินเข้มแข็งที่สุดสโมสรหนึ่งของโลก แต่การจะดึงตัวเมสซีมาไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะราคาที่ต้องจ่ายเพื่อแลกกับสุดยอดนักเตะนั้นมากมายมหาศาลถึงขั้นสโมสรที่ร่ำรวยที่สุดอย่างบาร์ซายังแทบล่มจมในทุกวันนี้
โลร็องส์จึงเชื่อว่า หากเปแอสเชต้องการเมสซีจริง นั่นหมายถึงการที่พวกเขาอาจผ่องถ่ายนักเตะบางส่วนออกไป เพื่อหารายได้มาจุนเจือไม่ให้สถานะทางการเงินของสโมสรติดลบ จนอาจนำไปสู่เรื่องใหญ่ในกฎ Financial Fair Play ที่เป็นจุดอ่อนของสโมสร
นักเตะนั้นอาจหมายถึง คีเลียน เอ็มบัปเป้ ที่เชื่อกันว่าน่าจะถึงจุดอิ่มตัวกับเปแอสเช และพร้อมย้ายไปหาความท้าทายใหม่ในต่างแดน โดยเฉพาะกับเรอัล มาดริด ที่ให้ความสนใจในตัวมาเป็นระยะเวลานาน
เพราะต่อให้เป็นเปแอสเชก็ไม่สามารถจะจ่ายค่าเหนื่อยของเนย์มาร์ เมสซี และเอ็มบัปเป้ ได้พร้อมกัน
และอาจหมายถึงการปล่อยหนึ่งในนักเตะที่รู้ใจเมสซีมากที่สุดอย่าง อังเคล ดิ มาเรีย ออกไปด้วยเช่นกัน
แม้จะอยู่กับสโมสรไม่นาน แต่ความมหัศจรรย์ของเนย์มาร์ที่เล่นร่วมกับเมสซีและ หลุยส์ ซัวเรซ ทำให้เขาเป็นที่รักของแฟนๆ
หรือเนย์มาร์จะกลับไปคัมป์นู?
แต่ถึงแม้ว่าสิ่งที่เนย์มาร์พูดจะเป็นการตอบคำถามถึงความหวังที่อยากเห็นเมสซีเล่นด้วยกันอีกครั้งในเปแอสเช
สำหรับบาร์ซา พวกเขาเองก็มองเห็นโอกาสในเรื่องนี้เช่นกันกับการดึงเนย์มาร์กลับมาเล่นกับเมสซีอีกครั้งที่คัมป์นู
เพราะนั่นอาจหมายถึงโอกาสในการจะทำให้บาร์ซาสามารถเปลี่ยนใจ และรั้งตัวราชาลูกหนังที่แฟนบอลทุกคนอยากเห็นเขาอยู่กับสโมสรไปจนวันสุดท้ายของชีวิตการเล่น และนั่นคือภารกิจที่สำคัญที่สุดสำหรับว่าที่ประธานสโมสรคนใหม่ที่กำลังจะมีการเลือกตั้งในเดือนมกราคมที่จะถึงนี้
ไม่ว่าจะเป็น บิคเตอร์ ฟอนต์ หรือ โจน ลาปอร์ตา นี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องทำเป็นอย่างแรก
อย่างไรก็ดี จากมุมมองของผู้สื่อข่าวชาวสเปนที่มากประสบการณ์อย่าง กิลเญม บาลาเกแล้ว เมสซีไม่ต้องการจะอยู่กับบาร์ซาอีกต่อไป และประธานสโมสรคนไหนก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้
เพราะความปรารถนาเดียวของสตาร์อาร์เจนไตน์คือ ‘ไปจากที่นี่’
บาร์ซาเองก็มีปัญหาทางการเงินที่หนักหน่วงถึงขั้นที่ คาร์ลอส ตุสเกตส์ รักษาการประธานสโมสรที่ทำหน้าที่แทนบาร์โตเมวที่ขอลาออกเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เนื่องจากไม่ต้องการเผชิญกับการโหวตไม่ไว้วางใจจากสมาชิกของสโมสร บอกว่า ถ้าเลือกได้ บาร์ซาควรจะขายเมสซีออกไปมากกว่า
“ในเชิงเศรษฐศาสตร์แล้ว ผมอยากขายเมสซีในช่วงตลาดฤดูร้อนที่ผ่านมา ทั้งในแง่ของการประหยัดเงินค่าใช้จ่ายและในแง่ของเงินที่จะได้รับกลับมา มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ แต่มันเป็นเรื่องที่สตาฟฟ์โค้ชต้องยอมรับด้วย ซึ่งตรงนั้นไม่ใช่ที่ของผม”
จากคำพูดของตุสเกตส์ยิ่งทำให้โอกาสที่เนย์มาร์จะได้เล่นร่วมกับเมสซีในคัมป์นูดูน้อยลงไปอีก
แต่ในเกมฟุตบอล ไม่มีใครที่สามารถพูดคำว่า ‘ไม่มีทาง’ ได้เต็มปาก
เวลายังมี สถานการณ์พร้อมเปลี่ยนแปลงในทุกนาที เช่นเดียวกับความรู้สึกและหัวใจของคน
พระเจ้าเท่านั้นที่รู้ หรือบางทีอาจจะมี ดิเอโก มาราโดนา อีกคนที่รู้ว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล
อ้างอิง:
- เนย์มาร์ เหลือสัญญากับเปแอสเช อีก 1 ปีครึ่งด้วยกัน หากจะย้ายทีมในช่วงตลาดการซื้อขายฤดูร้อนรอบหน้าอาจทำให้ค่าตัวในการย้ายทีมลดลงจากเดิมได้บ้าง
- แต่เปแอสเชจะถูกทดสอบครั้งสำคัญกับกรณีของเอ็มบัปเป ที่คาดว่าเรอัล มาดริดจะรุกหนัก โดยเฉพาะหลังผลงานในฤดูกาลนี้ที่เข้าขั้นเลวร้าย ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการตัดสินใจของสโมสรที่จะไม่เสริมทัพด้วยสตาร์แม้แต่รายเดียวในช่วงปิดฤดูกาลที่ผ่านมาจากผลกระทบของโควิด-19