×

ชีวิตของคนขี้เกียจที่เลือกได้กับ เชวง คุณชยางกูร [Advertorial]

โดย THE STANDARD TEAM
12.12.2018
  • LOADING...

“ผมอยากเป็นคนขี้เกียจที่มีความรับผิดชอบและสามารถขี้เกียจได้ตลอดไป” คือแนวคิดในอุดมคติที่หลายคนได้แต่ฝัน แต่ เชวง คุณชยางกูร สามารถทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นได้ในชีวิตจริง

 

จากเด็กขี้เกียจคนหนึ่งที่เรียนได้ระดับกลางๆ ใช้ชีวิตไปกับการดูบอล เล่นเกม และอ่านหนังสือการ์ตูน ในขณะที่เพื่อนๆ วัยเดียวกันกำลังสนุกกับชีวิตวัยรุ่นอย่างเต็มที่ เชวงกลับเลือกทิ้งกิจกรรมทุกอย่าง และเริ่มต้นทำธุรกิจอย่างจริงจัง โดยมีเป้าหมายว่าเขาจะต้องสร้างความมั่นคงในชีวิต เพื่อที่วันหนึ่งเขาจะสามารถเลือกใช้ชีวิตได้แบบที่ตัวเองต้องการโดยไม่มีข้อผูกมัดใดๆ

 

และเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการ เขาก็ได้ลิ้มลองรสชาติแห่งความอิสระที่เคยต้องการแบบเต็มที่ เขาใช้เวลาหมดไปกับการท่องเที่ยว ดูฟุตบอลวันละ 3 คู่ เล่นเกม อ่านการ์ตูนจนหมดร้านอยู่ 6 ปีเต็ม โดยที่ไม่ต้องทำงานอะไรเลย มีชีวิตที่อิสระ แต่กลับรู้สึก ‘ว่างเปล่า’ นั้นยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด เพราะเขาต้องการเติมเต็ม ‘คุณค่า’ ที่ขาดหายไปของชีวิต ด้วยการปรับสมดุลในชีวิตใหม่ ให้สามารถประสบความสำเร็จทางธุรกิจไปพร้อมๆ กับการทำสิ่งที่รักไปพร้อมๆ กัน

 

รวมทั้งจุดเปลี่ยนครั้งล่าสุด เมื่อเขาเปลี่ยนสถานะกลายเป็น ‘พ่อ’ คน และต้องการส่งต่อวิธีคิดและประสบการณ์ที่เขาเจอมาทั้งหมด ให้กับลูกๆ ทั้งสองคน ได้มี ‘อิสระ’ ในการเลือกใช้ชีวิตตามแนวคิด I Am What I Am ต่อไปในอนาคต

 

 

สภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมความคิดของลูกชายคนเล็ก

ผมเป็นลูกคนเล็กสุดในบ้านที่มีพี่น้อง 5 คน ชีวิตสบายมาก ไม่ต้องทำอะไร และไม่ชอบทำอะไรเลยนอกจากเรียนตามที่แม่บอก เต็มที่ก็อ่านการ์ตูน เล่นเกม ดูฟุตบอล แล้วก็เป็นเด็กเรียนกลางๆ ค่อนข้างขี้เกียจ คุณแม่ไม่เคยบังคับอะไรเลย นอกจากขอว่าอย่างน้อยให้อยู่ห้องคิง ซึ่งผมก็ทำได้ ตรงนี้ต้องขอบคุณแม่ผมมากๆ เลยนะ ที่วางเรื่องพวกนี้เอาไว้ เพราะพอผมมีคุณแม่สอนให้ทำตัวดี มีพี่น้องที่เรียนเก่ง อยู่ในโรงเรียนกับเพื่อนกลุ่มที่เรียนเก่ง ทำให้ถึงผมจะเป็นคนขี้เกียจ แต่ก็จะถูกสภาพแวดล้อมที่ผลักดันเราทำตัวอยู่ในกรอบ ถึงจะเป็นคนขี้เกียจก็เป็นคนขี้เกียจในหมู่คนขยัน อย่างน้อยก็เป็นคนเก่งน้อยที่สุดในหมู่คนเก่งมาก และไม่เคยทำอะไรไม่ดี เพราะไม่อยากให้คุณแม่เสียใจ

 

จากเด็กที่ค่อนข้างขี้เกียจ พลิกตัวเองจนกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย

จุดตั้งต้นก็มาจากความขี้เกียจอีก (หัวเราะ) ผมรู้ว่าความขี้เกียจมีวันสิ้นสุด ตอนเรียนอยู่ปี 2 พี่ชายที่เป็นหมอเขาทำแอมเวย์อยู่ เกิดความเป็นห่วง และคิดว่าชีวิตของผมควรจะมีอะไรเป็นหลักแหล่งทำได้แล้ว ก็เลยชวนไปทำด้วยกัน พอศึกษาก็รู้ว่า นี่คืองานที่เหมาะกับคนอย่างเราเลย ถึงผมจะเป็นคนขี้เกียจ แต่ก็เป็นคนขี้เกียจที่รับผิดชอบ อย่างน้อยก็ต้องดูแลชีวิตตัวเองให้มั่นคง รวมทั้งดูแลครอบครัวของเราได้ ก็เลยตัดสินใจทิ้งกิจกรรมทุกอย่าง เหลือไว้แค่การเรียนกับการทำงานอย่างเต็มตัว

 

 

จุดเริ่มต้นสำหรับการมีชีวิตที่ขี้เกียจไปตลอดได้อย่างที่คิด

สิ่งที่ยากที่สุดไม่ใช่วิธีการ แต่เป็นการเดินออกมาจากคอมฟอร์ตโซน จริงๆ ผมไม่ต้องมาทำงานนี้ก็ได้ เพราะที่บ้านก็มีธุรกิจของคุณแม่ให้กลับไปทำ แต่ผมอยากลองสร้างอะไรที่เป็นตัวเองจริงๆ ขึ้นมาก่อน คิดถึงคนทั่วไปที่เรียนเสร็จไปดูหนัง กลับบ้าน ชีวิตสนุกมากเลยนะ แต่ของผมกลายเป็นไปเรียน ทำงาน ไปเรียน ประชุมแล้วค่อยได้กลับบ้าน บางครั้งก็คิดว่ามันไม่สนุก แต่พอเข้าไปทำงานจริงๆ ผ่านการประชุมกันหลายครั้ง ผมเลยมองเห็นว่า นี่แหละคือธุรกิจที่จะทำให้เรามีชีวิตในแบบที่เราต้องการจริงๆ

 

ผมขอเปรียบเทียบตอนเด็กๆ ที่ผมร้องไห้ทุกเช้าตอนไปเรียนจนอยู่นานพอสมควรเลยนะ ร้องจนที่บ้านงงว่าเป็นอะไร แต่พอวันหนึ่งคิดขึ้นมาได้ว่าร้องไห้อย่างไรก็ต้องไปเรียนอยู่ดี แล้วจะร้องทำไม ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนความคิดใหม่ เมื่อต้องไป ก็จงไปเรียนให้มีความสุข พอมาทำงานตรงนี้ก็ใช้แนวคิดเดียวกัน เมื่อเราเลือกแล้วว่าจะทำเพื่อให้มีชีวิตอย่างที่ต้องการ ก็ควรหาความสุขจากงานที่ทำให้ได้ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรยากแล้ว

 

การมองเห็นคุณค่าในชีวิต คือการได้เป็นผู้ช่วยเหลือคนอื่น

หลังจากผมทิ้งกิจกรรมทุกอย่างยกเว้นการเรียนเพื่อมาทำธุรกิจอยู่ 5 ปีเต็ม จนธุรกิจของเรามั่นคง สามารถไปต่อได้เองโดยไม่ต้องทำอะไร ผมก็กลับมาทำทุกอย่างที่เคยละเลยไปก่อนหน้านั้น ทั้งอ่านการ์ตูน เล่นเกม ดูบอล ไปเที่ยว โดยที่ไม่ทำงานอะไรเลยนะ แต่กลายเป็นว่าผมไม่มีแพสชั่นเหมือนตอนแรก

 

เชื่อไหมว่าชีวิตตอนนั้นผมดูบอลวันละ 3 คู่ ตื่นมาอ่านการ์ตูน เล่นเกม วนไปเรื่อยๆ อย่างเดียวเลย การ์ตูนนี่อ่านจนเดินเข้าไปในร้านการ์ตูนก็ไม่มีเรื่องไหนที่ผมไม่มี ถ้าไม่นับการ์ตูนตาหวาน (หัวเราะ) เกมก็ไล่เคลียร์ทุกเกมที่เคยทิ้งไปจนครบทุกภาค ช่วง 2-3 ปีแรกนี่สนุกมากเลยนะ แต่พอผ่านไปก็เหมือนเดิม เริ่มเบื่อ ไม่อยากอ่านการ์ตูน ไม่อยากเล่นเกมแล้ว แต่ก็ต้องอ่าน เพราะไม่มีอะไรทำ (หัวเราะ) เป็นแบบนั้นไปอีก 3 ปี จนคิดว่า เฮ้ย ชีวิตแบบนี้ไม่น่าจะใช่สิ่งที่เราต้องการแล้ว

 

เพราะหนึ่งคือ คุณค่าในชีวิตที่เคยรู้สึกว่าเราได้ช่วยเหลือให้คนอื่นมีอาชีพ มีชีวิตที่ดี ความภาคภูมิใจตรงนี้มันหายไป สอง เริ่มรู้สึกว่าความคิดความอ่านเราเริ่มไม่คมเหมือนเดิม จากเมื่อก่อนเคยคิดกลยุทธ์ในธุรกิจ การตลาดต้องแบบนี้ๆ กลายเป็นคิดอะไรไม่ค่อยออก ตอบสนองช้าไปหมด

 

เลยมาคิดว่าชีวิตของเราพุ่งไปขวาสุดและซ้ายสุดแบบนั้นคงไม่ดีแล้ว มาคิดเรื่องการปรับบาลานซ์ในชีวิตใหม่ เราอยากก้าวหน้าทางธุรกิจ อยากทำประโยชน์ให้คนอื่น และอยากใช้ชีวิตที่เลือกทำทุกอย่างได้แบบที่ตัวเองต้องการ ก็เป็นจุดเปลี่ยนของตัวเองให้กลับมาทำทุกอย่างไปพร้อมๆ กัน พอทำแอมเวย์สำเร็จ ก็จะมี Work-Life Balanced มากขึ้นได้

 

 

เพราะความสำเร็จของชีวิตคือการบาลานซ์ที่ดี

เวลาทำธุรกิจ ถ้าเริ่มต้นจากความที่มุ่งเน้นเรื่องธุรกิจมากๆ มาก่อน ฉันอยากรวย อยากมีชีวิตที่ดี เรื่องอื่นๆ ในชีวิตจะกลายเป็นเรื่องรองลงมา ลูกเอาไว้ทีหลัง ทำชีวิตให้ดีก่อน แต่ผมไม่เชื่อแบบนั้น อย่างที่บอกว่า ผมเชื่อในเรื่องการบาลานซ์ชีวิต เราต้องสามารถทำธุรกิจไปพร้อมๆ กับการมีชีวิตที่ดี และมีเวลาให้ครอบครัว ให้ลูกไปพร้อมๆ กันได้ และถ้าผมทำแบบนั้นได้ มันจะเป็นเสน่ห์ที่ช่วยยืนยันกับคนอื่นได้ว่า สิ่งที่ผมทำอยู่มันดีจริงๆ อันนี้คือความคิดตอนแรก

 

แต่พอมีจริงๆ กลายเป็นอีกมุมหนึ่งเลย การมีลูกช่วยมาตอบคำถามว่าเราทำทุกอย่างไปทำไม ณ เวลานี้ ผมอยากส่งต่อสิ่งที่มีค่าที่สุดที่ไม่ใช่เงิน แต่เป็นประสบการณ์ที่ผมมีตลอดชีวิตให้กับลูกของผมด้วยตัวของผมเอง เพื่อให้เขามีหลักคิดบางอย่าง เพื่อนำไปใช้เลือกเส้นทางเดินในชีวิตตามแบบที่เขาต้องการต่อไป

 

สิ่งสำคัญที่อยากส่งต่อให้กับลูก

ผมมีลูก 2 คน คนโตอายุ 5 ขวบ คนเล็กอายุ 2 ขวบ ผมมีพี่เลี้ยงให้เขาแบบ 1 ต่อ 1 คน เพราะฉะนั้นตามปกติผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เพราะมีคนดูแลเรื่องอาหาร มีคนขับรถพาไปเรียน ไปไหนมาไหน แต่นั่นไม่ใช่วิถีทางที่ผมอยากทำ ผมคิดว่าลูกเสือก็ต้องให้เสือเลี้ยง เพราะฉะนั้นผมจะเป็นคนทำทุกอย่างด้วยตัวเอง แล้วพี่เลี้ยงก็นั่งอยู่ข้างๆ นั่นแหละ (หัวเราะ) ให้เขาป้อนข้าวก็ได้ แต่ผมไม่ทำ ผมต้องการสอนและพูดคุยกับเขาไปด้วยในทุกๆ เวลา

 

ผมได้เรื่องนี้มาจากแม่ของผมแบบที่เล่าไป เพราะแม่ได้ใส่ความคิดที่ดีให้กับผมตั้งแต่เด็ก เช่นเดียวกัน ผมก็ต้องการส่งต่อความคิดและประสบการณ์ให้กับลูก แน่นอนว่าผมไม่สามารถอยู่ค้ำโลกและเลี้ยงดูเขาไปได้ตลอด แต่สิ่งที่ผมสอนจะอยู่ดูแลเขาได้ตลอดชีวิต อย่างน้อยผมอยากให้เขามีความคิดแบบที่ผมเชื่อว่า ถ้าคุณโกง สักวันหนึ่งคุณจะต้องโดนดีแน่ๆ เชื่อในสิ่งที่ถูกต้องเถอะ แล้วคุณจะได้สิ่งที่ถูกต้องกลับคืนมา ซึ่งพี่เลี้ยงเขาสามารถดูแล ป้อนข้าวให้ลูกได้ แต่เขาไม่สามารถมอบแนวคิดแบบนี้ให้กับลูกผมได้

 

การได้ใช้เวลาร่วมกันของพ่อและลูกคือสิ่งล้ำค่า

พอเขาไปเรียน ผมก็กลับมานอนต่อ พอเรียนเสร็จ ผมก็ดูแลเขาต่อ นี่คือชีวิตที่มีความสุข และเป็นชีวิตที่เลือกได้จริงๆ แล้วผมวัดผลในการใช้ชีวิตจากเพอร์ฟอร์แมนซ์หลายๆ ด้าน หนึ่ง ถ้าธุรกิจเรายังเติบโตไปได้ และสอง ถ้าเรายังมีเวลาอยู่กับลูก มีพัฒนาการด้านความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากขึ้นเรื่อยๆ แค่นี้จบ มันคือการบาลานซ์ชีวิตที่ถูกต้อง  

 

การเป็นต้นแบบของความอิสระในการได้เลือกใช้ชีวิตของตัวเองให้ลูก

ใช่ครับ ถ้าเขามีพื้นฐานความคิดที่ดี เขาอยากเลือกทำอะไรแล้วแต่เขาเลย ผมว่าเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำนะ ถ้าเขามีความฝัน มีแพสชั่นอยากทำอะไรสักอย่าง แล้วทุ่มเทกับมันจริงๆ หรืออาจจะไปทำงานประจำ ไม่ต้องทำธุรกิจแบบผมก็ได้ การได้ลองใช้ชีวิตแบบนั้นจะทำให้เขาชัดเจน ถ้ามัวแต่ประคองเขาทุกอย่าง เมื่อไรเขาจะเก่ง ถ้าไม่ปล่อยให้เขาผ่านร้อนผ่านหนาว เมื่อไรเขาจะประสบความสำเร็จได้ และจากพื้นฐานความมั่นคงที่เราสร้างมาก่อน ก็ทำให้เราสามารถที่จะคอยสนับสนุนในสิ่งที่เขาเลือกแล้วได้อย่างเต็มที่

 

 

เรื่องนี้สำคัญนะครับ ผมคิดว่า ถ้าอยากให้ลูกมีอิสระในการเลือกได้อย่างเต็มที่ คนเป็นพ่อแม่ต้องมีอิสระในชีวิตมากพอเสียก่อน ถึงจะส่งมอบอิสระนั้นให้กับลูกได้ แต่ก็ระวัง เพราะถ้าเป็นความอิสระที่ไม่มีขอบเขต มันจะกลายเป็นการสปอยล์หรือตามใจจนเกินเหตุ ผมไม่อยากให้ลูกคิดว่า พ่อมีเงิน ถ้าอย่างนั้นเอาเงินสักสิบล้านไปเปิดร้านกาแฟเก๋ๆ โดยไม่ได้วางแผนให้รอบคอบ แต่ถ้าเขามีพิมพ์เขียวที่ชัดเจน มีการวางแผนเป็นอย่างดี แล้วอยากลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง อันนี้มาได้เลย ผมให้อิสระและสนับสนุนเต็มที่

 

รูปแบบชีวิตแบบ I Am What I Am

อย่างแรกคือ ผมลองผิดลองถูกมาเยอะ แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ แนวคิดที่จะตามมาเมื่อเราตัดสินใจทำอะไรลงไปแล้ว ทุกๆ อย่างที่ผมทำ ผมใช้คำว่า ‘บางครั้งก็สำเร็จ บางครั้งก็เรียนรู้’ ผมไม่มีคำว่าล้มเหลวในสมอง พอไม่มีคำว่าล้มเหลว มันจึงทำให้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ แต่เราเรียนรู้จากมันได้ทุกครั้ง การไม่ได้เรียนรู้อะไรจากความล้มเหลวนั้นเลยต่างหาก คือความล้มเหลวที่แท้จริง

 

พอคิดได้แบบนี้ ทำให้เชื่อและมั่นใจว่า ผมสามารถทำได้ทุกอย่างถ้าผมเลือกแล้วจริงๆ สมมติผมอยากเป็นเชฟ ทั้งๆ ที่ไม่เคยทำอาหารเลยนะ ตอกไข่ยังทำไม่เป็น แต่ถ้าผมลองผิดลองถูก ผมอาจจะโดนมีดบาด โดนไฟลวก ทำอาหารไม่อร่อย แต่ไม่ใช่สาระสำคัญ เพราะมันไม่ใช่ความล้มเหลว มันคือก้าวหนึ่งที่จะทำให้เราประสบความสำเร็จ พอสนุกที่จะได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ เราจะไม่เกิดความย่อท้อ พอไม่ย่อท้อ เราก็จะสามารถทำทุกอย่างได้อย่างที่ตั้งใจ

 

ทุกวันนี้ที่ผมยังทำแอมเวย์อยู่ เพราะเรียนรู้แล้วว่ามันเป็นงานที่ทำให้เราบาลานซ์ด้านอื่นๆ ของชีวิตได้ และเลือกใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการได้จริงๆ

 

ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ FB: ชีวิตสร้างตามใจชอบ

พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล

  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X