การเผยแพร่ข่าวปลอม โฆษณาชวนเชื่อ หรือการใช้ IO (ยุทธการข้อมูล) อย่างเป็นระบบ เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการทำ ‘สงครามข่าวสาร (Information Warfare)’ ซึ่งมีบทบาทสำคัญท่ามกลางความขัดแย้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก รวมถึงความขัดแย้งไทย-กัมพูชาในรอบนี้ ที่ยังมีบรรยากาศตึงเครียดแม้จะตกลงหยุดยิงกันแล้วก็ตาม
กรณีกัมพูชา หัวขบวนสงครามข่าวสารดูเหมือนจะเป็นสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีที่ครองอำนาจยาวนานกว่า 3 ทศวรรษ
แต่การจะทำความเข้าใจกลยุทธ์ในสงครามข่าวสารของฮุน เซน ต้องศึกษาเรื่องราวเบื้องหลังอันดำมืดของเขา ผ่านการครอบงำสื่อแบบเบ็ดเสร็จ ใช้สื่อและโซเชียลมีเดียเป็น ‘อาวุธ’ ทำลายล้างศัตรูฝ่ายตรงข้าม
สำหรับเขา ‘ข่าวปลอม’ ในบางครั้งดูเหมือนจะเป็นเพียงวาทกรรมที่อาจหยิบมาใช้เพื่อป้องกันตัวเอง แต่บางครั้งก็เป็นดาบที่พร้อมหยิบมาฟาดฟันเอาชนะศัตรูแบบไม่แคร์สายตาใคร
การเผยแพร่ข่าวและข้อมูลอย่างเป็นระบบของกัมพูชา ทั้งในโซเชียลมีเดียของเหล่าผู้นำ อินฟลูเอ็นเซอร์ และสื่อกระแสหลักที่รับลูกตีข่าวเป็นภาษาอังกฤษ ถูกฉายสู่สายตาคนทั่วโลกอย่างรวดเร็วจำนวนมาก สามารถสร้างความเข้าใจและเรื่องราวในแบบที่กัมพูชาต้องการให้เป็น
ขณะที่รัฐบาลไทยถูกมองว่าตกเป็นรองและตามหลังกัมพูชาในเกมนี้ จนชาวไทยจำนวนมากกำลังตั้งคำถามว่า “ไทยพ่ายแพ้สงครามข่าวสารนี้แล้วหรือไม่?”
เผยแพร่ข่าวปลอมเป็นระบบ
นับตั้งแต่ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาทวีความตึงเครียด ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จนนำมาซึ่งการจำกัดการเข้า-ออกด่านพรมแดน และบานปลายสู่การสู้รบในพื้นที่ชายแดนจนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ สถานการณ์ในอีกสมรภูมิที่ดุเดือดตามไปด้วย คือ ‘สงครามสื่อ’ ระหว่างทั้งสองประเทศ
ข่าวที่ถูกบิดเบือนข้อเท็จจริงจำนวนมากถูกนำเสนอไม่เว้นแต่ละวัน หลายกรณีถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความพยายามอย่างเป็นระบบจากสื่อหลักไปยังหน่วยงานรัฐ ผู้นำทางการเมืองและบุคคลมีชื่อเสียง เพื่อกระจายข้อมูลบิดเบือนในวงกว้าง
กรณีหนึ่งที่เป็นที่พูดถึงอย่างมากคือการกล่าวหาว่าไทยใช้อาวุธเคมีในการสู้รบ พร้อมภาพประกอบเป็นเครื่องบินโปรยสารเคมีสีชมพู ซึ่งแท้ที่จริงเป็นภาพของเครื่องบินโปรยสารหน่วงไฟสำหรับช่วยในการดับไฟป่าที่สหรัฐฯ
โดยสื่อฝ่ายสนับสนุนรัฐบาลกัมพูชาพากันรายงานข่าวปลอมนี้ พร้อมกับหน่วยงานรัฐบาล อาทิ กระทรวงกลาโหม หรือสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาในบัลแกเรีย ที่เผยแพร่ข่าวในภาษาอังกฤษ
เช่นเดียวกับเพจ Facebook ของพระบาทสมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี กษัตริย์กัมพูชา ที่โพสต์ข่าวนี้และชี้ว่าไทยก่ออาชญากรรมสงคราม ในขณะที่ ควน โซะดารี ประธานสภากัมพูชา นำเรื่องนี้ไปกล่าวในการประชุมสุดยอดประธานรัฐสภาสตรีที่กรุงเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมหลั่งน้ำตาสงสารคนกัมพูชาที่โดนไทยโจมตีด้วยอาวุธเคมี
อีกกรณีคือการเผยแพร่ข่าวที่อ้างว่าเครื่องบินขับไล่ F-16 ของไทยถูกยิงตก โดยสื่อกัมพูชาหลายสำนัก เช่น DAP News, Khmer News รายงานข่าวนี้พร้อมภาพซากเครื่องบิน F-16 ที่อยู่บนพื้น ซึ่งแท้จริงเป็นเหตุการณ์ความผิดพลาดระหว่างการซ่อมบำรุง F-16 ที่ฐานทัพในเบลเยียม
ขณะที่บุคคลมีชื่อเสียงในกัมพูชาหลายคนต่างพากันโพสต์ข่าวปลอมนี้ เช่น ธี โสวันทา อดีตรองผู้ว่าราชการเมืองอริยกษัตรา จังหวัดกันดาล ที่มีผู้ติดตามกว่า 2.4 ล้านคน
ด้าน รศ. ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำสาขาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายกสมาคมภูมิภาคศึกษา ให้ความเห็นว่าการทำสงครามข่าวสารอย่างเป็นระบบของกัมพูชานั้นเป็นมรดกตกทอดจากยุคสงครามกลางเมือง ซึ่งเน้นการใช้สื่อในการโฆษณาชวนเชื่อเพื่อโน้มน้าวสังคม หรือสร้างฐานมวลชน ไม่ว่าจะขัดกับหลักฐานข้อเท็จจริงแค่ไหนก็ตาม
เขามองว่าการดำเนินการที่เกิดขึ้นนั้นเป็นแผนการที่มีการวางไว้ล่วงหน้า เนื่องจากรัฐบาลกัมพูชามียุทธศาสตร์โจมตีสู้รบกับไทยในหลายๆ มิติ และหนึ่งในนั้นคือการทำสงครามข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมีการเตรียมการมาก่อน
ไทยแพ้สงครามข่าวสาร?
สิ่งที่ทำให้รัฐบาลไทยถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในช่วงแรกของเหตุการณ์สู้รบ คือการ ‘สื่อสารกับโลก’ และการตอบสนองต่อสงครามข่าวโดยไร้ซึ่งเอกภาพ แตกต่างจากกัมพูชา ที่หน่วยงานรัฐ ผู้นำทางการเมือง และสื่อหลักต่างๆ พร้อมใจกันฟ้องโลกด้วยแถลงการณ์และข้อมูลข่าวภาษากัมพูชาและภาษาอังกฤษ
ดร.ธีรศานต์ สหัสสพาศน์ ผู้อำนวยการหลักสูตร DNA by SPU มหาวิทยาลัยศรีปทุม ให้ความเห็นต่อกลยุทธ์การสื่อสารและทำสงครามข่าวของกัมพูชา โดยชี้ว่าเป็นการรับข่าวแบบเป็นทอดๆ อย่างเป็นระบบ ทั้งจากโฆษกของกองทัพ หรือจากการแชร์โพสต์ต่างๆ ซึ่งทำมาเป็นขั้นตอน โดยข่าวถูกปล่อยออกมาเป็นระลอก และสำนักข่าวของกัมพูชาที่สามารถสั่งการได้ ก็เล่นข่าวไปในทิศทางเดียวกัน
การเผยแพร่ข่าวอย่างเป็นระบบ ทำให้กัมพูชาสามารถสร้าง ‘User Generated Content (UGC)’ หรือกลุ่มประชาชนที่สร้างข้อมูลข่าวขึ้นมา และกลุ่มประชาชนที่ทำงานด้าน IO (Information Operation) ด้วยตัวเอง โดยคนกลุ่มนี้จะเข้าไปปิดข่าวตามคอมเมนต์ในโพสต์ของสื่อต่างชาติได้ทันที ดังนั้นเมื่อมีคนเสิร์ชหาประเด็นข่าวเกี่ยวกับไทย-กัมพูชา ก็จะไปเจอคอนเทนต์ของฝั่งกัมพูชาเป็นอันดับแรก ซึ่งอาจจะบิดเบือนหรือไม่ใช่ข้อเท็จจริงเลยก็ได้
ในส่วนของไทยนั้น ดร.ธีรศานต์ ชี้ว่า รัฐบาลและกองทัพไทยไม่มีท่าทีที่ชัดเจนและเป็นเอกภาพมากพอ โดยฝั่งกองทัพก็รายงานแค่เฉพาะเรื่องทหาร ส่วนกระทรวงการต่างประเทศในระยะแรกก็ค่อนข้างตอบสนองในการสื่อสารกับประชาชนและนานาชาติอย่างล่าช้า
“เมื่อคอนเทนต์ออกมา เราจึงเห็นแค่เพจข่าวเล่นข่าว ซึ่งมีน้ำหนักแค่ในกลุ่มคนไทยเท่านั้น ต่างชาติไม่ได้เห็นเลย ดังนั้นเมื่อเราเห็นสื่ออย่าง CNN หรือสื่อต่างชาติในวันแรกๆ รายงานข่าวผิดพลาดว่าประเทศไทยไปโจมตีกัมพูชาก่อน นั่นเป็นเพราะพวกเขาเอาคอนเทนต์ของฝั่งกัมพูชาไปใช้ทั้งหมด” เขากล่าว
ทางด้าน รศ. ดร.ดุลยภาค มองว่า หากรัฐบาลไทยใช้หลักการ คือต้องให้มีพยานหลักฐานรอบคอบรัดกุมก่อน ก็จะทำให้การตอบโต้ข้อมูลข่าวสารจากฝ่ายกัมพูชาเป็นไปอย่างล่าช้า ถึงแม้จะมีความหนักแน่นในการกลั่นกรองข้อมูล
เขาตั้งข้อสังเกตว่า ประเทศไทยมีสื่อจำนวนมากกว่ากัมพูชา แต่การเคลื่อนไหวด้านข้อมูลข่าวสารของกัมพูชาดูเร็วกว่า และแพร่กระจายข้อมูลได้มากกว่า ทั้งๆ ที่จำนวนไม่น้อยเป็นข่าวปลอม
โดยเขาเสนอว่า “หน่วยงานรัฐบาล เช่น ศบ.ทก. (ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา) หรือหน่วยงานอื่นๆ ควรจะต้องประสานงานและบูรณาการกับสื่อมวลชนหลากหลายสำนักในไทยให้เข้มข้นมากขึ้น เพื่อที่จะทำให้มีพลังอำนาจแห่งชาติในด้านสงครามข้อมูลข่าวสาร โดยการใช้สื่อสำนักต่างๆ ที่จำนวนมากมีการติดต่อกับสื่อต่างประเทศหรือช่องทางระหว่างประเทศเยอะอยู่แล้ว”
ทั้งนี้ การนำเสนอ ‘เรื่องเล่า (Narrative)’ ตามข้อเท็จจริงและท่าทีของไทยในสถานการณ์สู้รบเพื่อสร้างความเข้าใจไปยังนานาชาติ ถือเป็นภารกิจสำคัญอย่างมากสำหรับรัฐบาล
ดร.ธีรศานต์ มองว่า ในช่วงแรกที่เกิดการสู้รบขึ้นนั้น กัมพูชาสามารถยึดครองพื้นที่ในการนำเสนอเรื่องเล่าไปยังสายตาคนทั่วโลก ถึงแม้ว่าไทยจะมีข้อมูลและข้อชี้แจงที่น่าเชื่อถือ แต่การสื่อสารของรัฐบาลยังคง ‘อ่อน’ เกินไป
เขาชี้ว่าการแก้ข่าวส่วนใหญ่จะเป็นเพจกองทัพหรือประชาชนทำกันเอง เช่น เพจ Drama-addict หรือกลุ่ม Facebook ต่างๆ แต่ปัญหาคือข้อมูลและการชี้แจงส่วนใหญ่เป็นภาษาไทย จึงวนอยู่แค่ในกลุ่มคนไทย และไม่ได้กระจายไปถึงต่างชาติ
“ในภาพรวมแล้ว ประเทศไทยจึงสูญเสียความน่าเชื่อถือตรงนี้ไป เมื่อเวลาผ่านไป เนื้อหาข้อมูลของกัมพูชายิ่งเยอะกว่า การค้นหาก็จะง่ายกว่า และทุกวันนี้เมื่อคนเสิร์ชหาสรุปข่าวผ่าน Gemini หรือ ChatGPT ปัญญาประดิษฐ์ก็จะไปดูดข้อมูลที่มีปริมาณเยอะกว่าตรงนั้น ไปกำหนดความเชื่อที่มันเป็นความจริงปลอมๆ ขึ้นมา”
อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะหลังทางการไทยก็พยายามสื่อสารให้ทันสถานการณ์มากขึ้น เช่น มีแถลงการณ์หรือโพสต์ข้อความออกมาตอบโต้ภายในไม่กี่นาทีหรือชั่วโมงหลังเกิดเหตุการณ์ ซึ่ง ดร.ธีรศานต์ มองว่าจุดนี้คือต้นทางที่ดีแต่สิ่งสำคัญสำหรับไทยอีกอย่างคือเรื่องคน การรับลูกจากสื่อหรือภาคประชาชนส่วนใหญ่ยังคงกระจายไปในเชิงลบว่าประเทศไทยยังช้าอยู่ ทำให้ภาพที่ออกมาแม้จะตอบสนองเร็วขึ้น แต่มุมลบก็ยังมีอยู่
“สิ่งสำคัญคือต้องรวมน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เช่นทุกวันนี้เราเห็นการรายงานเรื่องโดรนตลอดเวลา แต่เมื่อเราเสิร์ชว่าภาครัฐจัดการอย่างไร แทบจะไม่มีสื่อไหนพูดถึงประเด็นนี้เลย มันกลับกลายเป็นคำถามว่า ประเทศไทยสั่งห้ามแล้วทำไมยังเกิดอีก ดังนั้นประเด็นตั้งต้นมันมีแล้ว แต่คนที่รับลูกต่อต้องพูดถึงวิธีการจัดการ และสร้างเรื่องเล่าที่ทำให้คนเห็นภาพว่าปัญหาที่เกิดขึ้นถูกจัดการต่ออย่างไร”
เข้าใจฉากทัศน์สื่อกัมพูชา
เหตุผลหนึ่งที่ทำให้กัมพูชาสามารถสื่อสารต่อโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ปัจจัยหนึ่งมาจากการที่สื่อในประเทศแทบทั้งหมด อยู่ภายใต้การควบคุมและสนับสนุนจากรัฐบาล
ดัชนีเสรีภาพสื่อโลกปี 2025 (World Press Freedom Index 2025) ที่จัดทำโดยองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน (RSF) ระบุว่า กัมพูชาติดอันดับที่ 161 จากทั้งหมด 180 ประเทศที่ถูกจัดอันดับ โดยเหตุผลหลักมาจาก ‘การกวาดล้างและครอบงำสื่อ’ โดยรัฐบาลฮุนเซน ในปี 2017 ซึ่งเป็นช่วงเดียวกับที่มีการยุบพรรคฝ่ายค้านหลัก CNRP ของสม รังสี ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2018
ปัจจุบันสถานีโทรทัศน์และวิทยุหลัก และหนังสือพิมพ์ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ฉบับในกัมพูชา แทบทั้งหมดยืนหยัดตามแนวทางของรัฐบาล ทำให้ประเด็นข่าวต่างๆ มีการกำหนดทิศทาง และยากจะนำเสนอโดยอิสระ เช่น ข่าวเกี่ยวกับฝ่ายค้าน เรื่องการทุจริตหรือการตัดไม้ทำลายป่า
วิธีการของฮุนเซนในการกวาดล้างและครอบงำสื่อที่ผ่านมา มีทั้งการกลั่นแกล้งและติดสินบน หรือสั่งปิดโดยยัดเยียดข้อกล่าวหาต่างๆ เช่นการเผยแพร่ข่าวปลอม หนังสือพิมพ์ The Cambodia Daily ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลรุนแรงที่สุด ถูกบังคับปิดตัวลงในเดือนกันยายน 2017 เนื่องจากปัญหาเรื่องภาษีที่น่าสงสัย
จากนั้น Phnom Penh Post หนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษที่เป็นสื่ออิสระท้องถิ่นรายสุดท้าย ก็ถูกบังคับขายให้กับ Sivakumar Ganapthy นักธุรกิจมาเลเซียที่ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการบริษัทที่ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้รัฐบาลกัมพูชา
รัฐบาลฮุน เซน ยังสั่งปิดสถานีวิทยุ FM ที่ออกอากาศรายการของ Radio Free Asia และ Voice of America ซึ่งเป็นสื่ออิสระนอกประเทศที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสหรัฐฯ และจับกุม 2 นักข่าว RFA ในข้อหาเป็นสายลับของสหรัฐฯ และในเวลาต่อมายังสั่งปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ Radio Free Asia
ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2023 ฮุน เซน ประกาศเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการของศูนย์สื่ออิสระกัมพูชา ซึ่งเป็นองค์กรแม่ของสำนักข่าว Voice of Democracy (VOD) หนึ่งในสื่ออิสระท้ายๆ ของประเทศ โดยเป็นความเคลื่อนไหวก่อนที่จะมีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน
แม้ว่าต่อมาจะมีเว็บไซต์ข่าว Kamnotra ที่ถือกำเนิดขึ้นจากอุดมการณ์ของ VOD แต่ก็อยู่ได้ไม่นานเนื่องจากถูกปิดกั้นการเข้าถึง
ปัจจุบันมีเพียงสมาคมนักข่าวกัมพูชา (CamboJa) ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2019 เป็นองค์กรเดียวที่ยังคงเป็นสื่ออิสระ และนำเสนอข่าวโดยไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของรัฐบาล และให้การสนับสนุนทางกฎหมายแก่นักข่าวที่กำลังถูกฟ้องร้องในศาล
ฮุน เซน ครอบงำสื่อเบ็ดเสร็จ
ตัวอย่างหนึ่งของสื่อที่ถูก ฮุน เซน ครอบงำอย่างชัดเจน คือ Khmer Times โดยในปี 2017 มีการรั่วไหลของบทสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่าง เฉิน ลิป เคียง (Chen Lip Keong) มหาเศรษฐีชาวมาเลเซียผู้เป็นซีอีโอของ NagaWorld คาสิโนหรูมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์แห่งเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการในกรุงพนมเปญ กับที. โมฮัน (T. Mohan) นักธุรกิจมาเลเซียเจ้าของ Khmer Times ซึ่งบ่งชี้ว่ารัฐบาลฮุน เซน มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินทุนของหนังสือพิมพ์
การรั่วไหลของคลิปเสียงสนทนาอื้อฉาวดังกล่าว ยังถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับ ฮุน มานิต หนึ่งในบุตรชายของนายกรัฐมนตรีฮุน เซน ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองทางทหารของกระทรวงกลาโหม
นอกจากนี้ ในปี 2021 ปรากฏคลิปเสียงโทรศัพท์พูดคุยอย่างดุเดือดระหว่างฮุน เซน และอุก โบรา ผู้อำนวยการฝ่ายข่าวสถานีโทรทัศน์ CNC TV ถูกปล่อยออกมา พร้อมบทสนทนาอันน่าตกตะลึง ที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงอิทธิพลและการครอบงำสื่อของฮุน เซน ซึ่งต้องการบีบบังคับให้อุก โบรา ลาออก หลังมีปัญหาขัดแย้งภายในเกิดขึ้น
“พนักงานไม่ชอบคุณ! แม้แต่งานบริหารก็ควบคุมไม่ได้! อย่าดื้อรั้น ผมต้องสนใจเพราะมันเกี่ยวข้องกับงานของรัฐบาล ผมดู CNC TV และภรรยากับผมสนับสนุนเจ้าหน้าที่ทุกคน พนักงาน CNC TV บางคนได้รับเงินจากผมในงานพิเศษ” ฮุน เซน กล่าว และเตือนว่า แม้อุก โบรา จะเป็นหลานชายของ เมน ซัม อาน รองนายกรัฐมนตรีหญิงในรัฐบาลฮุน มาเนต แต่เขาก็ยังต้องการให้ลาออกจากตำแหน่ง
“คุณบอกว่าคุณเป็นหลานชายของนาง ก็ช่างเถอะ ผมไม่กลัวแม้แต่พระราชินีและพระราชบิดาของกษัตริย์!”
โดยฮุน เซน ยังขู่ไปถึง คิธ เหมิง (Kith Meng) ซีอีโอกลุ่มบริษัท Royal Group ผู้เป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ CNC TV ว่า “ถ้าเขาไม่ไล่คุณออก เขาจะกลายเป็นศัตรูของผม แล้วธุรกิจของเขาจะเป็นอย่างไรล่ะ ตอนนี้เขาได้รับการสนับสนุนจากผมแล้ว แต่เขาไม่สามารถเลือกคุณเหนือผมได้!”
ภายหลังการรั่วไหลของคลิปเสียงดังกล่าว ทำให้เกิดกระแสวิจารณ์จากฝ่ายค้านที่หลบหนีอยู่นอกกัมพูชา ซึ่งตั้งคำถามว่าฮุน เซน ควรถูกสืบสวนและดำเนินคดีหรือไม่ จากกรณีที่บอกว่าให้เงินแก่พนักงาน CNC TV ซึ่งถือเป็นคดีทุจริตทางอาญา
ฮุน เซน ตอบโต้ข้อกล่าวหานี้อย่างไม่เกรงกลัว โดยบอกว่าคลิปที่รั่วไหลออกมานั้นเป็นเพียงข่าวปลอมที่ถูกปลุกปั่นจากฝ่ายค้าน
“กัมพูชากำลังเผชิญกับปัญหาร้ายแรงจากข่าวปลอมที่ทำให้สิ่งแวดล้อมทางสังคมปนเปื้อน ข่าวปลอมเหล่านี้ถูกปลุกปั่นโดยนักการเมืองฝ่ายค้านและผู้ฉวยโอกาส ที่มีเป้าหมายโค่นล้มรัฐบาลอันชอบธรรมผ่านการปลุกกระแสต่อต้าน ด้วยเจตนาในการลากประเทศเข้าสู่สงครามโดยได้รับการสนับสนุนจากต่างชาติ”
ขณะที่เขายอมรับว่าเคยให้เงินนักข่าวของ CNC TV และ Bayon TV ซึ่งลูกสาวของเขาเป็นเจ้าของ และอ้างว่าเป็นการให้เงินจากการที่ออกอากาศรายงานข่าวที่เห็นอกเห็นใจพรรครัฐบาล CPP ซึ่งเขามองว่าเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรัฐบาล และปัดความกังวลเกี่ยวกับแหล่งที่มาของเงิน โดยบอกว่าเป็นเงินส่วนตัวของเขาเอง
คุมอำนาจสื่อ-โซเชียลมีเดีย
ปัจจุบันสื่อหลักในกัมพูชา ทั้ง TV วิทยุ หนังสือพิมพ์ หรือสำนักข่าวออนไลน์ แทบทั้งหมดอยู่ภายใต้การสนับสนุนและกำหนดทิศทางการนำเสนอข่าวโดยรัฐบาล และมีจำนวนไม่น้อยที่ตระกูลฮุนหรือคนใกล้ชิดเป็นเจ้าของ
สื่อออนไลน์ที่มีบทบาทและได้รับความนิยมอย่างมากในเหตุสู้รบครั้งนี้ เช่น Fresh News มี Lim Cheavutha ที่ปรึกษาของฮุนเซน เป็นเจ้าของ
ขณะที่สถานีโทรทัศน์หลักของกัมพูชาจำนวน 8 ใน 10 มีพรรครัฐบาล CPP เป็นเจ้าของ เช่น สถานีโทรทัศน์แห่งชาติกัมพูชา (TVK) ที่ดำเนินการโดยรัฐบาล เช่นเดียวกับสถานีวิทยุแห่งชาติกัมพูชา (RNK)
ส่วนสถานีโทรทัศน์เอกชนยอดนิยม เช่น Cambodian Television Network (CTN) ก็เป็นของคิธ เหมิง ที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลและตระกูลฮุนมายาวนาน ในขณะที่ SEATV ก็เป็นของเกากึมฮวน เลขาธิการอาเซียนชาวกัมพูชาคนปัจจุบัน
นอกจากสื่อกระแสหลัก ฮุน เซน ยังให้ความสำคัญอย่างมากต่อโซเชียลมีเดีย โดยเขามีช่องทางสื่อสารกับประชาชนทั้ง Facebook Telegram และ TikTok
ข้อมูลจาก datareportal.com พบว่าในเดือนมกราคมปีนี้ มีชาวกัมพูชาราว 10.8 ล้านคนที่ใช้งานอินเทอร์เน็ต และมีบัญชีผู้ใช้งานโซเชียลมีเดียกว่า 12.9 ล้านคน หรือราว 72.4% ของจำนวนประชากรประมาณ 17.7 ล้านคน
ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า โซเชียลมีเดียสามารถส่งผลและมีบทบาทอย่างยิ่งต่อแนวคิดและความเชื่อของชาวกัมพูชาในยุคใหม่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาของสถานการณ์ความขัดแย้ง ที่กระแสชาตินิยมสามารถถูกปลุกเร้าได้อย่างง่ายดาย โดยฮุน เซน สามารถใช้เครื่องมือนี้ในการสื่อสาร ปลุกระดม หรือกระจายข่าวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
อ้างอิง:
- https://www.rfa.org/english/news/cambodia/hun-sen-recording-12212018153901.html
- https://thediplomat.com/2018/07/whats-behind-cambodias-war-on-fake-news/
- https://rsf.org/en/rsf-world-press-freedom-index-2025-economic-fragility-leading-threat-press-freedom
- https://www.dw.com/en/cambodia-hun-sen-holds-control-of-media-ahead-of-election/a-66203311
- https://datareportal.com/reports/digital-2025-cambodia
- https://fulcrum.sg/information-as-ammunition-how-the-thai-cambodian-border-clash-became-a-cyber-war/