×

วิโรจน์เตือนคนไทยอย่าตามกระแส ฮุน เซน ชี้กัมพูชามีผู้นำสายคอนเทนต์ ท้าเปิดชื่อ 7 นักการเมืองไทยฟอกเงิน

โดย THE STANDARD TEAM
27.06.2025
  • LOADING...
วิโรจน์แถลงข่าวรัฐสภา เตือนอย่าหลงกระแสข้อมูลจากฮุน เซน ชี้กระทบเสถียรภาพประเทศ

วันนี้ (27 มิถุนายน) ที่อาคารรัฐสภา เวลา 09.40 น. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน ให้ถึงกรณีที่สมเด็จฮุน เซน อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาปล่อยข้อมูลและเนื้อหาต่างๆ ผ่านโซเชียลมีเดียอย่างต่อเนื่องว่า เป็นลักษณะของการปั่นกระแส ซึ่งหากเปรียบเทียบกับความขัดแย้งระหว่างประเทศอื่นที่มีความเสี่ยงด้านอาวุธ สมเด็จฮุน เซน กลับใช้คอนเทนต์เป็นอาวุธ โดยปล่อยคลิปเสียง แชตหลุด และข้อมูลอ่อนไหวเป็นรายวัน

 

วิโรจน์กล่าวว่า เรื่องจริงหรือไม่ไม่รู้ แต่เขารู้ว่าแหย่ตรงไหนแล้วเราตื่นเต้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่ต้องไปตื่นตระหนกมาก ถ้ามีก็ให้ปล่อยออกมาเลย พร้อมระบุว่า สมเด็จฮุน เซนกำลังสร้างบทบาทตัวเองให้เป็นผู้นำสายคอนเทนต์ และเป็นถึงบิดาแห่งสแกมเมอร์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

วิโรจน์ยังตั้งข้อสังเกตว่า สมเด็จฮุน เซน มีพฤติกรรมสื่อสารที่มุ่งปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกในประเทศไทย ทั้งการกล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การกล่าวชื่นชม พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมถึงการปล่อยคลิปเสียงที่อ้างว่าเป็นของ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เพื่อกระตุ้นให้สังคมไทยเกิดความแตกแยกทางการเมือง

 

วิโรจน์กล่าวว่า สมเด็จฮุน เซน รู้ว่าใครเกลียดใคร และเลือกยุให้ฝ่ายหนึ่งกระทบอีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าเราหลงกล ก็เท่ากับงับเบ็ดของบิดาแห่งสแกมเมอร์ แต่การตอบโต้ของรัฐบาลต่อเหตุการณ์ดังกล่าวว่ายังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะบทบาทของโฆษกรัฐบาล และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่ควรมีความคล่องตัวและกล้าตัดสินใจมากกว่านี้

 

วิโรจน์เสนอว่า ควรมีทีมโฆษกเฉพาะกิจ เพื่อรับมือกับสงครามข้อมูลโดยเฉพาะ เหมือนกับที่เคยตั้งทีมโฆษกในสถานการณ์โควิด หรือกรณีเขาพระวิหารในอดีตเราก็รู้ว่าใครเป็นโฆษก แต่เรื่องนี้เป็นการรับมือกับบิดาแห่งสแกมเมอร์ จะต้องมอบหมายเป็นการเฉพาะ โฆษกรัฐบาลอย่างเดียวคงไม่พอ

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นานาชาติรับไม่ได้ นอกจากตอบโต้ทางวาจาแล้ว ควรมีกลไกอื่นด้วยหรือไม่ วิโรจน์กล่าวว่า ต้องประท้วง เพราะสถานที่ตั้งของสหประชาชาติก็อยู่ในประเทศไทย รวมทั้งสถานที่ต่างๆ ด้วย ตนเข้าใจว่านายกรัฐมนตรีมอบหมายให้กระทรวงการต่างประเทศชี้แจงกับทูตประเทศต่างๆ ไปแล้ว แต่ต้องต่อเนื่อง ซึ่งบทบาทของมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ อาจจะเงียบเกินไป เราควรมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่เก่งกว่านี้

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า จะให้ปรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออกใช่หรือไม่ วิโรจน์กล่าวว่า ต้องหาคนที่ไวต่อสถานการณ์และกล้าตัดสินใจมากกว่านี้ เพราะ ณ วันนี้ เรากำลังรับมือกับคนที่เขาวางแผนและไตร่ตรองล่วงหน้าที่จะโจมตีไทย มีการเขียนบทไว้ล่วงหน้าว่าจะชมใคร ด่าใคร หรือทำคอนเทนต์อย่างไร ดังนั้น เมื่อไหร่ที่เรางับเบ็ด เช่น กรณีที่เขาชม พล.อ. ประยุทธ์ เพราะต้องการที่จะยุแยงให้เกิดการปะทะกันระหว่างคนไทย และเป็นการสนับสนุนการทำรัฐประหารกลายๆ เพราะเขารู้ว่านานาชาติไม่เห็นด้วยกับการทำรัฐประหาร จะทำให้เราเสียเปรียบมากขึ้นในการเจรจาเรื่องความขัดแย้งชายแดน และทำให้ประเทศหมดความชอบธรรมบนเวทีโลก

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า 2 พ่อลูกตระกูลฮุน ต้องการให้ไทยทำรัฐประหารใช่หรือไม่ วิโรจน์ กล่าวว่า ตนพยายามอ่านเกมแล้ว มี 4-5 เรื่อง 1.ความขัดแย้งกับทักษิณ น่าจะมีผลประโยชน์บางอย่างที่ตกลงกันไม่ได้จนหักเหลี่ยมโหดกัน 2.เขามีความกังวลในเรื่องการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ฐานใหญ่สุดอยู่ที่กัมพูชา ซึ่งถ้าตามข่าว ทั้งบริษัท ฮุยวัน รวมถึงออกญาลียงพัด ซึ่งเกี่ยวข้องกับ LYP กรุ๊ป ถูกคว่ำบาตรจากสหรัฐฯ แม้กระทั่ง ออกญา มงฤทธี ที่เป็นมือไม้ให้ฮุน เซน

 

ดังนั้นถ้าเราดูเส้นทางทางการเงินเหล่านี้ หลายกรณีพัวพันกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อาชญากรรมข้ามชาติ ค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด การพนันออนไลน์ โดยเฉพาะบริษัทฮุยวัน ที่ทาง คณะทำงานปฏิบัติการทางการเงิน (FATF) ของสหรัฐฯ ติดตามเรื่องการฟอกเงินอยู่ เพราะพบเบาะแสว่ามีความเชื่อมโยงกับแฮกเกอร์ในกลุ่มประเทศเกาหลีเหนือ ที่ถูกขึ้นบัญชีดำจาก FATF ซึ่งเป็นคณะทำงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน รวมถึงใช้เงินในการก่อการร้าย เป็นการรวมกันของหลายประเทศ

 

วิโรจน์กล่าวว่า ความขัดแย้งกับทักษิณ อาจมีเบื้องลึกเกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ตกลงกันไม่ได้ รวมถึงความกังวลของรัฐบาลกัมพูชาต่อการที่ไทยเริ่มปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเขตเมียวดี ประเทศเมียนมา ซึ่งมีฐานโยงไปถึงกัมพูชา และกลุ่มธุรกิจสีเทา เช่น Huione, LP Group และ Mong Reththy Group ได้รับการลงโทษทางเศรษฐกิจจาก OFAC (สำนักงานควบคุมทรัพย์สินต่างชาติของสหรัฐฯ) ขณะที่ FinCEN ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านการปราบปรามการฟอกเงินของสหรัฐฯ ก็กำลังตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มเหล่านี้ ซึ่งมีเบาะแสเชื่อมโยงกับแฮกเกอร์จากเกาหลีเหนือ และองค์กรเหล่านี้ยังอยู่ในความสนใจของ FATF (คณะทำงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย)

 

วิโรจน์กล่าวเพิ่มเติมว่า นายกรัฐมนตรีควรสั่งการให้ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานอัยการสูงสุด (สอธ.) ร่วมมือกับหน่วยงานต่างชาติ ตรวจสอบเส้นทางการเงินเหล่านี้อย่างจริงจัง พร้อมนำข้อมูลที่ได้ยื่นต่อ ICTR (หน่วยประสานงานระหว่างประเทศในการรับมือภัยคุกคาม) และปักหมุดหมายที่จะลงสัตยาบัน อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยอาชญากรรมไซเบอร์ หรือ UNCC 2024 ให้ประเทศภาคีสามารถส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนมาดำเนินคดีในไทย

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ใน กมธ.การทหารได้เปิดเผยรายชื่อนักการเมืองไทย 7 คนหรือไม่ วิโรจน์ กล่าวว่า ปปง.รู้ เพราะทุกธุรกรรมตั้งแต่ 700,000 บาทขึ้นไป ไม่ว่าจะออกหรือเข้า ปปง.ต้องทราบ จึงพอที่จะคาดการณ์ได้ว่าเป็นใคร แต่มีการตั้งข้อสังเกตว่าอาจเป็นบุคคลใกล้ชิดนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นายกรัฐมนตรีรู้จักหรือไม่ ถ้าหนักกว่านั้น อาจจะเป็นอดีตรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีหรือไม่ เพราะหากใช่ก็จะโดนข้อหาแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ และถ้าเงินนั้นมาจากการทุจริตก็เข้าความผิดมูลฐานที่ ปปง.จะสามารถอายัดทรัพย์สินได้ และนายกรัฐมนตรีก็ไปแต่งตั้งคนที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมข้ามชาติ

 

การฟอกเงินมาเป็นรัฐมนตรี ก็จะผิดจริยธรรมแล้วมีจุดจบเหมือนเศรษฐา ทวีสิน จึงมีการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพราะประเด็นเหล่านี้หรือไม่ที่นายกรัฐมนตรีไม่ได้จริงจังในการจัดการ ทั้งที่สามารถพุ่งเป้าไปที่กระเป๋าเงินตระกูลฮุนได้ ซึ่งแม่นยำ ได้ผล กดดัน และสร้างผลกระทบให้ผู้ประกอบการชายแดนน้อยกว่าที่เป็นอยู่

 

วิโรจน์กล่าวต่อว่า ผลการประชุมของ กมธ.การทหาร วานนี้ (26 มิถุนายน) ตนได้ทำหนังสือ ข้อสังเกต และข้อมูลลับถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว ดังนั้น จะบอกว่าไม่รู้ไม่ได้ เชื่อตนหรือไม่ เผลอๆ ตนอาจจะเอาเรื่องที่นายกรัฐมนตรีรู้อยู่แล้วไปบอกก็ได้ อาจจะรู้ละเอียดกว่าตนด้วยซ้ำ ซึ่งข้อมูลดังกล่าว กมธ.ก็ตกใจ ซึ่งตอนนี้ ปปง.รู้ทุกอย่างทั้งกลุ่มทุนไทยที่น่าจะไปฟอกเงินในกัมพูชา หรือกลุ่มทุนกัมพูชาที่เข้ามาปฏิบัติการในประเทศไทย

 

วิโรจน์กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัญหารัฐต่อรัฐอย่ายกระดับให้เป็นปัญหาของประชาชน หรือปัญหาเชิงเชื้อชาติ

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising