ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ส่งจดหมายถึง อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซียและประธานอาเซียนคนปัจจุบัน พร้อมด้วยผู้นำโลกอีกหลายคน อาทิ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน, โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ และเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ตลอดจน อันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ และอันนาเลนา แบร์บ็อคประธานสมัชชาสหประชาชาติ สมัยที่ 80
โดยระบุเป้าหมายเพื่อดึงความสนใจของผู้นำโลก ต่อสถานการณ์ความขัดแย้งล่าสุดในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งผู้นำกัมพูชาย้ำว่าเป็นภัยต่อสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างสองประเทศและภูมิภาคโดยรอบ พร้อมทั้งขอให้ผู้นำโลกสนับสนุนข้อเรียกร้อง 5 ข้อ ได้แก่
1.การปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดต่อข้อตกลงหยุดยิงและข้อตกลงที่บรรลุในการประชุม GBC และ RBC ล่าสุด และการยุติทันทีต่อการกระทำฝ่ายเดียวทั้งหมดที่เสี่ยงทำให้ความตึงเครียดทวีความรุนแรงและขยายความขัดแย้ง
2.การหลีกเลี่ยงการใช้กำลังกับพลเรือนและทรัพย์สินของพวกเขา
3.การยุติการขับไล่โดยบังคับที่วางแผนไว้ทั้งหมด และการอำนวยความสะดวกให้พลเรือนกัมพูชาที่ถูกขับไล่แล้วสามารถกลับไปยังบ้านและที่ดินของตนอย่างปลอดภัย
4.การใช้กรอบของ JBC และ GBC เพื่อแก้ไขปัญหาเขตแดนผ่านการเจรจาและการพูดคุยโดยสันติ แทนที่จะใช้วิธีทางทหาร
5.การปล่อยตัวโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไขต่อทหารกัมพูชา 18 นายที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในประเทศไทยในปัจจุบัน
ทั้งนี้ เนื้อหาในจดหมายนั้น ฮุน มาเนต ได้แจ้งผู้นำโลกเกี่ยวกับลำดับเหตุการณ์ที่นำไปสู่การขยายพื้นที่ความขัดแย้งนอกเหนือไปจากพื้นที่จังหวัดพระวิหารและจังหวัดอุดรมีชัย โดยเรียกร้องให้เคารพข้อตกลงหยุดยิงและข้อตกลงที่ฝ่ายไทยและกัมพูชา บรรลุในที่ประชุมคณะกรรมาธิการชายแดนทั่วไป (GBC) และคณะกรรมาธิการชายแดนภูมิภาค (RBC) ล่าสุด
เขาลำดับเหตุการณ์โดยอ้างว่าตั้งแต่วันที่ 12 สิงหาคม กองทัพไทยได้ขยายพื้นที่ความขัดแย้งโดยการกั้นลวดหนามและสิ่งกีดขวาง ยื่นคำขาด และขับไล่พลเรือนกัมพูชาออกจากพื้นที่หมู่บ้านโจกเจย (Chouk Chey) และ เปรยจัน (Prey Chan) ในจังหวัดบันเตียเมียนเจย ที่ตั้งถิ่นฐานมายาวนาน โดยมีครอบครัว 25 ครอบครัวที่ถูกกันไม่ให้เข้าถึงบ้านและที่ดินของตนเอง ขณะที่ระบุว่าโฆษกกองทัพไทยได้ข่มขู่ว่าจะมีการขับไล่เพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้ ซึ่งอาจกระทบต่อชาวกัมพูชาอีกหลายร้อยครัวเรือน
นอกจากนี้ เนื้อหายังระบุข้อมูลที่อ้างว่ามาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ ว่ากองทัพไทยมีเจตนาจะใช้กำลังยึดพื้นที่ในอีก 17 แห่งในจังหวัดต่างๆ ตั้งแต่จังหวัดโพธิสัตว์ไปจนถึงเกาะกง ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของกัมพูชา
“การกระทำฝ่ายเดียวข้างต้นที่ดำเนินการโดยกองทัพไทยนั้นอิงตามแผนที่ฝ่ายเดียวของตนเอง ซึ่งขัดต่อแผนที่ที่ทั้งสองฝ่ายตกลงร่วมกัน ซึ่งเป็นผลจากการทำงานของคณะกรรมาธิการกำหนดเส้นเขตแดนระหว่างอินโดจีนและสยามที่จัดตั้งขึ้นโดยอนุสัญญา ค.ศ. 1904 และสนธิสัญญา ค.ศ. 1907 ระหว่างฝรั่งเศสและสยาม ซึ่งได้รับการรับรองโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) และได้รับการยืนยันโดยกัมพูชาและไทยในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบกที่ลงนามเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2000 (MOU43)” ฮุน มาเนต อ้าง
ขณะที่เขากล่าวหาว่า “การกระทำของไทยถือเป็นความพยายามที่จะปักปันเขตแดนฝ่ายเดียวโดยใช้กำลัง ซึ่งเป็นการละเมิดโดยตรงต่อ MOU43 อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมาธิการร่วมกัมพูชา-ไทยว่าด้วยการปักปันเขตแดนทางบก (JBC) และพันธกรณีที่ได้บันทึกไว้ในการประชุม GBC และ RBC ล่าสุด”
“ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าจะไม่ดำเนินการที่ยั่วยุซึ่งอาจทำให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น หรือขยายขอบเขตและขนาดของข้อพิพาท”