หากเราพูดถึงหุ่นยนต์ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ หรือหุ่นยนต์มนุษย์ (Humanoid Robot) หลายคนอาจนึกถึงหนังไซไฟอย่าง The Terminator หรือ I, Robot แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีหุ่นยนต์มนุษย์กำลังก้าวออกจากจอหนังสู่โลกแห่งความเป็นจริง ล่าสุด Morgan Stanley สถาบันการเงินระดับโลก ถึงกับประเมินว่าตลาดหุ่นยนต์ (Physical Embodiment of AI) อาจมีมูลค่ามหาศาลถึง 60 ล้านล้านดอลลาร์เลยทีเดียว
จากการต่อจิ๊กซอว์สู่ระบบอัจฉริยะแบบองค์รวม
หากเรามองย้อนกลับไปดูการพัฒนาหุ่นยนต์ในอดีต การจะสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมาตัวหนึ่งนั้นเปรียบเสมือนการต่อจิ๊กซอว์ชิ้นใหญ่ วิศวกรจะต้องนำชิ้นส่วนของระบบย่อยหลายๆ ระบบมาประกอบเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นระบบการมองเห็น ระบบควบคุมการเคลื่อนไหว หรือระบบประมวลผลการตัดสินใจ ซึ่งถึงแม้วิธีนี้จะมีข้อดีที่สามารถปรับเปลี่ยนแต่ละส่วนได้ง่าย แต่การประกอบร่างแบบนี้เหมือนกับการที่เรามีทีมงานจำนวนมากที่พูดกันคนละภาษาซึ่งต้องมีตัวเชื่อมเพื่อที่จะให้ระบบใหญ่ทำงานได้
ปัจจุบันเราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการหุ่นยนต์ บริษัทผู้พัฒนาหุ่นยนต์ไม่ได้เพียงแค่ทำการประกอบชิ้นส่วนต่างๆ เข้าด้วยกันอีกต่อไป แต่กำลังสร้างระบบแบบบูรณาการที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ Artificial Intelligence (AI) เป็นทั้งสมองและระบบประสาทรวมเป็นหนึ่งเดียว หนึ่งในตัวอย่างของการพัฒนานี้คือ Helix หุ่นยนต์มนุษย์จากบริษัท Figure AI ที่มาพร้อมกับนวัตกรรม ‘สมองคู่’ ซึ่งหลักการทำงานของสมองคู่นี้ผมอยากให้เราลองจินตนาการดูว่าถ้าเรามีความสามารถทั้งการคิดวิเคราะห์อย่างเป็นเลิศ รวมทั้งยังมีระบบปฏิกิริยาตอบสนองที่ฉับไวเหมือนนักกีฬาในร่างเดียวกันจะเป็นอย่างไร
และนี่คือระบบสมองคู่ที่ Helix ถูกพัฒนาขึ้นมา สมองส่วนแรกของ Helix เรียกว่า System 2 ซึ่งทำหน้าที่เหมือนสมองมนุษย์ที่ใช้ในการคิดวิเคราะห์ภาพใหญ่ ทำความเข้าใจภาษา และจดจำสิ่งต่างๆ รอบตัว โดยประมวลผลได้ 7-9 ครั้งต่อวินาที ในขณะที่สมองส่วนที่สอง หรือ System 1 ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงถึง 200 ครั้งต่อวินาที ส่งผลให้หุ่นยนต์วางแผนได้อย่างเป็นระบบพร้อมทั้งยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างลื่นไหลและแม่นยำ
นอกจากนี้ นักวิจัยพัฒนาหุ่นยนต์ในปัจจุบันยังพยายาม ‘สอน’ หุ่นยนต์ให้ทำงานที่หลากหลายได้อีกด้วย
ในอดีตหุ่นยนต์มักถูกออกแบบมาเพื่อทำงานเฉพาะทาง เช่นการประกอบรถยนต์หรือคัดแยกพัสดุ แต่ในปัจจุบันหุ่นยนต์กำลังถูกพัฒนาไปในทิศทางที่สามารถเรียนรู้องค์ความรู้ที่หลากหลายเพื่อที่จะสามารถรับมือกับงานหลายประเภทได้โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมใหม่ทั้งหมด แทนที่เราจะสร้างหุ่นยนต์ที่สามารถทำงานเฉพาะทางเพียงอย่างเดียว นักวิจัยกำลังสร้าง ‘ระบบพื้นฐาน’ หรือ Foundation Model ของหุ่นยนต์ที่ผ่านการฝึกฝนจากข้อมูลมหาศาลมาก่อน โมเดลใหม่ๆ อย่าง ARM4R หรือ π₀ มีความสามารถที่จะเรียนรู้การทำงานหลากหลายประเภทจากวิดีโอหรือข้อมูลพฤติกรรมของมนุษย์ ช่วยให้หุ่นยนต์เรียนรู้ที่จะเคลื่อนไหว ปรับตัว และมีปฏิสัมพันธ์ได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น
เมื่อเอเชียกำลังแซงหน้าซิลิคอนแวลลีย์
หลายคนอาจคิดว่าซิลิคอนแวลลีย์คือศูนย์กลางนวัตกรรมของโลกซึ่งไม่ผิด แต่เชื่อหรือไม่ว่าการปฏิวัติวงการหุ่นยนต์กำลังเกิดขึ้นในเอเชียแถวบ้านเรา ภาพการพัฒนาหุ่นยนต์ในเอเชียนี้มีลักษณะคล้ายคลึงกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าที่จีนกระโดดเข้ามาเป็นผู้นำในด้านการผลิต จากตัวเลขรายงานของ Morgan Stanley ชี้ให้เห็นว่า 73% ของบริษัทที่มีการรายงานว่าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานการพัฒนาหุ่นยนต์มนุษย์นั้นตั้งอยู่ในทวีปเอเชียโดยมีจีนเป็นผู้นำ ซึ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญเลยแต่เป็นผลมาจากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาลจีนและความพร้อมของห่วงโซ่อุปทานที่ครบวงจรของจีน
Morgan Stanley ได้จัดทำดัชนีที่เรียกว่า ‘Humanoid 100’ ซึ่งเผยให้เห็นภาพการลงทุนที่น่าสนใจ
อ้างอิง: Morgan Stanley Research
โดยตลาดการพัฒนาหุ่นยนต์มนุษย์ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือกลุ่มบริษัทที่รายงานว่ากำลังพัฒนาหุ่นยนต์มนุษย์อยู่ซึ่งมีอัตราส่วนอยู่ที่ 52% และส่วนที่สองเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องทั้งทางตรงและทางอ้อมกับส่วนแรก แต่ไม่ได้มีการรายงานว่าพัฒนาหุ่นยนต์มนุษย์ อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่บริษัทกลุ่มนี้จะกระโดดเข้าสู่ตลาดหุ่นยนต์มนุษย์ซึ่งมีอัตราส่วนอยู่ที่ 48%
หากเราจัดกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาหุ่นยนต์มนุษย์แล้วเราจะเห็นบริษัททั้งหลายอยู่ที่ห่วงโซ่อุปทานที่แตกต่างกัน โดยในรายงานเล่มนี้มีการจัดกลุ่มบริษัทออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ กลุ่มแรกเป็นกลุ่มบริษัทที่พัฒนา ‘สมอง’ ซึ่งได้แก่บริษัทที่ผลิตซอฟต์แวร์และเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้ผลิตชิปในการประมวลผลและหน่วยความจำ กลุ่มที่สองเป็นบริษัทที่ผลิต ‘ร่าง’ ซึ่งได้แก่บริษัทที่ผลิตชิ้นส่วนประกอบต่างๆ สำหรับการประกอบเป็นหุ่นยนต์ไม่ว่าจะเป็นสายไฟ มอเตอร์ หรือโครงร่างหุ่นยนต์ ส่วนกลุ่มที่สามเป็นบริษัทที่ ‘รวมร่าง’ ทำหน้าที่ประกอบชิ้นส่วนต่างๆ ทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์เข้าด้วยกัน รวมไปถึงการ ‘สอน’ หุ่นยนต์ให้ทำหน้าที่ต่างๆ
บริษัทยักษ์ใหญ่ด้าน AI อย่าง NVIDIA, Microsoft, Alphabet และ Meta กำลังลงทุนพัฒนาสมองกลให้หุ่นยนต์ ในขณะที่ผู้ผลิตชิปรายใหญ่อย่าง TSMC, Samsung และ Intel ก็กำลังผลิตชิปประมวลผลประสิทธิภาพสูงรวมไปถึงหน่วยความจำเพื่อใช้กับหุ่นยนต์ บริษัทที่เชี่ยวชาญด้านฮาร์ดแวร์อย่าง Nidec และ CATL ก็มุ่งผลิตชิ้นส่วนอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการผลิตหุ่นยนต์อย่างมอเตอร์และแบตเตอรี่ และบริษัทอีกกลุ่มที่เน้นการรวบรวมชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสมองกลและฮาร์ดแวร์เข้าด้วยกันเพื่อพัฒนาหุ่นยนต์มนุษย์ อย่างโครงการ Optimus ของ Tesla และ Boston Dynamics (ปัจจุบันอยู่ภายใต้ Hyundai)
ความท้าทายและคำถามมูลค่า 60 ล้านล้านดอลลาร์
แม้ว่าเราจะเห็นความก้าวหน้าของการพัฒนาหุ่นยนต์มนุษย์อย่างที่ได้กล่าวไว้ตอนต้น แต่เส้นทางสู่การใช้งานอย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมและตามบ้านเรือนต่างๆ ก็ยังมีอุปสรรคอีกมาก หุ่นยนต์ในปัจจุบันยังมีข้อจำกัดในเรื่องพื้นฐานอย่างการเคลื่อนไหวที่ยังไม่ลื่นไหลมากนักและการตัดสินใจในการทำงานต่างๆ ที่ยังต้องการการพัฒนาเพิ่มเติมอีก อีกทั้งอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ก็ยังเป็นปัญหา ลองนึกดูถ้าหากหุ่นยนต์ของเราต้อง ‘พักเบรก’ ทุกๆ สองสามชั่วโมงเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ก่อนที่จะทำงานต่อไปคงยุ่งยากน่าดู อีกเรื่องที่สำคัญมากๆ คือเรื่องของต้นทุนของหุ่นยนต์ การพัฒนาหุ่นยนต์เหล่านี้ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลทำให้ปัจจุบันราคายังค่อนข้างสูง แม้ว่าการผลิตในปริมาณมากและความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจะช่วยทำให้ราคาลดลงเรื่อยๆ ก็ตาม
ความท้าทายอีกมุมหนึ่งอาจไม่ใช่เรื่องทางเทคนิคหรือวิศวกรรมเพียงอย่างเดียว หากแต่เป็นประเด็นทางจริยธรรมที่เราต้องร่วมกันตัดสินใจ เมื่อหุ่นยนต์มีความสามารถมากขึ้น เราต้องเผชิญกับคำถามเรื่องการทดแทนแรงงานมนุษย์และธรรมชาติของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ แรงงานในอนาคตอาจเห็นภาพมนุษย์และหุ่นยนต์ทำงานเคียงข้างกัน แต่การก้าวไปถึงจุดนั้นต้องอาศัยการจัดการทั้งความท้าทายทางเทคนิคและการตัดสินใจจากคนในสังคมอย่างรอบคอบ
ในขณะที่เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้น คำถามราคา 60 ล้านล้านดอลลาร์ไม่ได้อยู่ที่ว่า ‘การปฏิวัติครั้งนี้จะเกิดขึ้นหรือไม่’ แต่อยู่ที่ว่า ‘ใครจะเป็นผู้นำในการพัฒนานี้’ ต่างหาก รวมไปถึงว่ามันจะเปลี่ยนชีวิตและระบบเศรษฐกิจของเราไปอีกมากแค่ไหน ในขณะที่จีนกำลังครองความได้เปรียบในด้านห่วงโซ่อุปทาน ทศวรรษหน้าจะเป็นช่วงเวลาแห่งการแข่งขันที่ดุเดือดเพื่อครองความเป็นเจ้าแห่งเทคโนโลยีหุ่นยนต์ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงทั้งระบบเศรษฐกิจโลกและชีวิตประจำวันของเราไปอย่างสิ้นเชิง
ภาพ: MASTER / Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.figure.ai/news/helix
- https://www.physicalintelligence.company/blog/pi0
- https://arxiv.org/abs/2502.13142
- Morgan Stanley (2025) The Humanoid 100: Mapping the Humanoid Robot Value Chain. Morgan Stanley Research.