วันนี้ (22 ธันวาคม) พล.ร.อ. ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยถึงแผนการปฏิบัติการค้นหาและให้การช่วยเหลือกำลังพลบนเรือหลวงสุโขทัยที่อับปางในอ่าวไทย
สำหรับการปฏิบัติการในการค้นหาและช่วยเหลือกำลังพลเรือหลวงสุโขทัยในวันนี้ ทางศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือได้สั่งการให้ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือภาคที่ 1 จัดเรืออากาศยานของกองทัพเรือและได้ประสานกับกองทัพอากาศ รวมถึงศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) ตลอดจนหน่วยงานอื่นๆ เข้าร่วมในการค้นหา
ซึ่งพื้นที่ในการปฏิบัติการโดยคำนวณจากทิศทางของกระแสน้ำและกระแสลม รวมทั้งบริเวณที่ตรวจพบและช่วยเหลือกำลังพลเรือหลวงสุโขทัยล่าสุด นำมาพิจารณาพื้นที่ที่เป็นไปได้ว่ากำลังพลที่เหลือจะอยู่ตรงบริเวณดังกล่าว โดยในวันนี้ยังคงแบ่งพื้นที่ปฏิบัติการออกเป็น 11 พื้นที่ มีเรือและอากาศยานรับผิดชอบการค้นหาในพื้นที่ต่างๆ ดังนี้
– เรือหลวงตากสิน อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 5
– เรือหลวงนเรศวร อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 9 และทำหน้าที่ควบคุมอากาศยาน
– เรือหลวงกระบุรี อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 10 และ 11
– เรือหลวงนราธิวาส อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 12
– เรือ ต.114 ลาดตระเวนเฝ้าตรวจบริเวณหมู่เกาะอ่างทอง
– เรือ ต.270 อยู่ในพื้นที่ค้นหาที่ 14
ในส่วนของการปฏิบัติการของอากาศยาน เครื่องบินลาดตระเวนทางทะเลแบบดอร์เนียจากทัพเรือภาคที่ 1, ทัพเรือภาคที่ 2 และทัพเรือภาคที่ 3 ทำการค้นหาในพื้นที่ค้นหา 6 และ 10 โดยมีเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำแบบซีฮอว์ก และเฮลิคอปเตอร์แบบ EC-725 ของกองทัพอากาศ รอรับการส่งกำลังบำรุงในบริเวณพื้นที่ปฏิบัติการ นอกจากนั้นจะมีกำลังทางเรือของหน่วยงานต่างๆ ในศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ประกอบด้วย ตำรวจน้ำ กรมเจ้าท่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รวมถึงกรมประมง ร่วมปฏิบัติการค้นหาในพื้นที่บริเวณชายฝั่ง
นอกจากนี้ในส่วนของการสำรวจใต้น้ำนั้น กองทัพเรือได้สั่งการให้กองเรือทุ่นระเบิด กองเรือยุทธการ นำยานสำรวจใต้น้ำของเรือหลวงบางระจันทำการบันทึกภาพใต้น้ำบริเวณเรือหลวงสุโขทัยอับปาง เพื่อค้นหาร่างของกำลังพลที่อาจติดค้างอยู่ภายในเรือ รวมถึงการตรวจหารอยรั่วของน้ำมันที่อาจเกิดการรั่วไหล
สรุปยอดกำลังพลบนเรือหลวงสุโขทัย จำนวน 105 นาย ช่วยเหลือได้แล้ว 76 นาย เสียชีวิต 6 นาย ยังคงสูญหาย 23 นาย
ในส่วนของผู้เสียชีวิตทั้ง 6 นาย คือ
- ร.ท. สามารถ แก้วผลึก
- พ.จ.อ. สมเกียรติ หมายชอบ
- พ.จ.อ. อัชชา แก้วสุพรรณ์
- พ.จ.อ. อำนาจ พิมที
- จ.อ. จักรพงค์ พูนผล
- พลทหาร อัครเดช โพธิ์บัติ
ในช่วงบ่ายวันนี้ กองทัพเรือจะเคลื่อนร่างของกำลังพลทั้ง 6 นาย เดินทางกลับอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยเครื่องบิน C-130 ของกองทัพอากาศ จากกองบิน 5 จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีกำหนดเดินทางถึงสนามบินอู่ตะเภาในเวลา 14.30 น. ซึ่ง พล.ร.อ. เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ จะเป็นประธานในพิธีรับกำลังพลที่เสียชีวิต โดยพิธีจะเป็นไปตามระเบียบข้อบังคับอย่างสมเกียรติ และในเวลา 17.00 น. จะมีการประกอบพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพ
โดยผู้เสียชีวิตทั้ง 6 นาย ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ศพอยู่ในพระบรมราชานุเคราะห์ โดยตั้งบำเพ็ญกุศลที่กิจการฌาปนสถานกองทัพเรือสัตหีบ
ในส่วนของสิทธิกำลังพลผู้เสียชีวิตนั้น กรณีนี้กองทัพเรือถือว่ากําลังพลดังกล่าวเป็นผู้ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ จะพิจารณาบําเหน็จด้านสิทธิกําลังพลสูงสุดให้แก่กําลังพลดังกล่าว โดยจะพิจารณาเลื่อนชั้นเงินเดือน 3-5 ชั้น กับขอพระราชทานเลื่อนยศ 2-4 ชั้นยศ รวมทั้งเงินช่วยเหลืออื่นๆ ตามสิทธิที่สมควรจะได้รับ โดยแยกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
ชั้นยศนาวาตรี จะขอพระราชทานเลื่อนยศเป็นพลเรือโท กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ําใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 160,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่นๆ รวมเป็นเงินประมาณ 1.2 ล้านบาท
ชั้นยศเรือเอก จะขอพระราชทานเลื่อนยศเป็นพลเรือตรี กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ําใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 160,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่นๆ รวมเป็นเงินประมาณ 2 ล้านบาท
ทั้งนี้ เป็นผู้ที่มีอายุราชการและฐานเงินเดือนสูง ชั้นยศพันจ่าเอก จะขอพระราชทานเลื่อนยศเป็นนาวาตรี กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ําใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 135,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่นๆ รวมเป็นเงินประมาณ 1 ล้านบาท
ชั้นยศจ่าตรี-จ่าเอก จะขอเลื่อนยศและขอพระราชทานเลื่อนยศเป็นพันจ่าโท-เรือตรี กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ําใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 135,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่นๆ รวมเป็นเงินประมาณ 900,000 บาท
ในส่วนของทหารกองประจําการจะขอเลื่อนยศเป็นพันจ่าตรี กับได้รับสิทธิกําลังพล ประกอบด้วย เงินประกันภัยหมู่แบบเฉพาะกิจกองทัพเรือ 500,000 บาท เงินจากกองทุนน้ําใจไทยเพื่อผู้เสียสละกองทัพเรือ 100,000 บาท และเงินช่วยเหลืออื่นๆ รวมเป็นเงินประมาณ 600,000 บาท
โดยกองทัพเรือจะเร่งรัดและดําเนินการให้กําลังพลและครอบครัวได้รับสิทธิกําลังพลอย่างรวดเร็ว เพื่อเป็นการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนในเบื้องต้นให้แก่กําลังพลและครอบครัวต่อไป