แม้การระบาดของโควิดระลอกใหม่จะมีผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย แต่ HSBC Private Banking ยังคงคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตขึ้น 2.1% ในปี 2564 โดยในครึ่งหลังของปี 2564 การฟื้นตัวหลักจะมาจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทย ซึ่งมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของตลาดโลก และรัฐบาลไทยเองก็มีแนวโน้มที่จะออกมาตรการผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทาง ประกอบกับตลาดการท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่จะเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง
เจมส์ เชียว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ HSBC Private Banking กล่าวว่า HSBC คาดการณ์เศรษฐกิจของไทยจะเติบโตขึ้น 2.1% ในปี 2564 และ 4.4% ในปี 2565 ทั้งนี้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า 1.4 แสนล้านบาท เพิ่มเติมจากแผนเดิมมูลค่า 8.5 หมื่นล้านบาทที่ได้ประกาศไปเมื่อเดือนพฤษภาคม ส่งผลให้มีมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจรวมมูลค่าทั้งสิ้น 2.25 แสนล้านบาท (ราว 7.2 พันล้านดอลลาร์) หรือ 1.4% ของ GDP โดยรัฐบาลไทยได้ประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ซึ่งหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐก็ใช้งบประมาณได้อย่างทันท่วงทีและเข้มข้นมากขึ้นในปีนี้
นอกจากนี้การสนับสนุนอย่างต่อเนื่องของรัฐบาล ยังช่วยลดความจำเป็นในการใช้นโยบายด้านการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อีกด้วย เป้าหมายของ ธปท. ในปีนี้ จะมุ่งไปที่การสร้างความเติบโตของภาคเศรษฐกิจ และสร้างเสถียรภาพของค่าเงินบาทและความมั่นคงของตลาดการเงิน
ทั้งนี้การเปลี่ยนแปลงของนโยบายด้านการเงินไม่น่าจะมีผลกระทบต่อราคาในท้องตลาด เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังคงที่ HSBC Private Banking คาดว่า ธปท. จะยังคงนโยบายอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิมในปีนี้
“ในส่วนของค่าเงินบาท เราเชื่อว่าเงินบาทจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้นในครึ่งปีหลัง และถึงแม้จะมีแผนการเปิดประเทศ แต่ยอดดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยปีนี้ก็น่าจะเกินดุลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยคาดว่าอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐต่อเงินบาทไทย จะอยู่ที่ประมาณ 30.50 บาท ในช่วงสิ้นปี 2564 นี้” เชียวกล่าว
อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะถูกจับตามองมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รัฐบาลมีแผนที่จะผ่อนคลายมาตรการการเดินทางระหว่างประเทศอีกครั้ง ขณะเดียวกันตลาดหุ้นของไทยก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น เนื่องจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ได้แรงสนับสนุนจากภาคธนาคารและการท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดยังคงมีความน่าเป็นห่วง HSBC Private Banking จึงประเมินตลาดหุ้นไทยอยู่ในระดับทรงตัว
HSBC Private Banking คาดการณ์ว่า ในครึ่งหลังของปี 2564 เศรษฐกิจโลกจะมีการฟื้นตัวตามวัฏจักร มีผลประกอบการที่ดีขึ้น และดอกเบี้ยที่อยู่ในสภาวะ ‘ต่ำแต่มีความผันผวน’ ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกที่สนับสนุนการเติบโตของการลงทุนที่มีความเสี่ยง (Risk Asset) และ ภาคธุรกิจที่มีความผันผวน (Cyclical Sector) ทั้งนี้เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเป็นเพียงชั่วคราว และการปรับนโยบายเข้าสู่สถานการณ์ปกติของธนาคารกลางทั่วโลกจะยังคงล่าช้าแบบค่อยเป็นค่อยไป
ทาง HSBC Private Banking ได้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงครึ่งหลังของปี โดยเลือกหุ้นในสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมนี ฝรั่งเศส จีน สิงคโปร์ และบราซิล เป็นหลัก ส่วนในตลาดตราสารหนี้ ก็จะเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนทั่วโลกสูง (Global High Yield Credit) ในตลาดกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (Emerging Market) และเอเชีย
ศรัณยา อรุณศิลป์ ผู้อำนวยการอาวุโส HSBC Private Banking ประจำประเทศไทย กล่าวว่า ตั้งแต่ธนาคาร HSBC ได้เปิดตัวธุรกิจ Private Banking ในประเทศไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ได้เห็นการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนของกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งสูง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าลูกค้ากลุ่มนี้มองหาวิธีการกระจายความเสี่ยงด้านการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ ด้วยเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะฟื้นตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 HSBC จึงสามารถที่จะสนับสนุนลูกค้าที่มีความต้องการด้านการลงทุน ผ่านเครือข่ายที่ครอบคลุมทั่วทุกภูมิภาคของ HSBC เพื่อคว้าโอกาสที่เป็นไปได้จากการเติบโตใหม่ในเอเชีย การพัฒนาทางด้านดิจิทัล การปฏิวัติของภาคธุรกิจต่างๆ ที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน การลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออัปเกรดเทคโนโลยีที่นำไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น”
การเปิดตัว HSBC Private Banking ในประเทศไทยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขับเคลื่อนสู่ความเป็นผู้นำด้านการจัดการความมั่งคั่งในภูมิภาคเอเชียในอีก 5 ปีข้างหน้า เพื่อสนับสนุนเป้าหมายนี้ HSBC จะใช้เงินลงทุนมากกว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์ ในการเพิ่มบุคลากรและพัฒนาเทคโนโลยี รวมถึงการสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ โดยใช้ความเชี่ยวชาญของ HSBC ในฐานะธนาคารระดับโลก เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่โดดเด่นและครบวงจรให้แก่ลูกค้าอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งระดับสูง และกลุ่มลูกค้าที่มีความมั่งคั่งพิเศษ