ธนาคาร HSBC หนึ่งธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ ในบรรดาธนาคารที่ไม่ได้มีสัญชาติอเมริกา ได้ตัดสินใจถอดธุรกิจ Retail Banking ของกลุ่มลูกค้าทั่วไปออกจากสหรัฐฯ และจะขายสาขาที่มีอยู่เกือบทั้งหมด โดยหลังจากนี้จะหันไปโฟกัสธุรกิจในเอเชียมากขึ้น ด้วยยังทำกำไรให้อยู่
ธนาคารที่มีสำนักงานใหญ่ในลอนดอนบรรลุข้อตกลงที่จะขายสาขาทั้งหมด 90 แห่ง และจะเปลี่ยนอีก 25 แห่ง เพื่อให้บริการลูกค้าชาวต่างชาติที่ร่ำรวย ภายใต้ชื่อ International Wealth Centers ตลอดจนกำลังจะปิดสาขาอื่นๆ 35-40 สาขา โดย HSBC คาดว่าจะมีค่าใช้จ่ายก่อนหักภาษี 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากการทำธุรกรรมดังกล่าว
การออกจากตลาดสหรัฐฯ เป็นส่วนหนึ่งของแผนที่ HSBC จะขับเคลื่อนธุรกิจไปยังเอเชียมากขึ้น โดย HSBC ได้ประกาศว่าจะลดตำแหน่งงานประมาณ 35,000 ตำแหน่งทั่วโลก เพื่อเพิ่มผลกำไร หลังดิ้นรนกับอัตราดอกเบี้ยที่กำลังอยู่ในขาลงมาหลายปี
“ธุรกิจในสหรัฐฯ เป็นธุรกิจที่มีดี แต่เรายังขาดความสามารถในการแข่งขัน” โนเอล ควินน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร HSBC กล่าวในแถลงการณ์ “การที่เรายังคงอยู่ในสหรัฐฯ ถือเป็นกุญแจสำคัญในเครือข่ายระหว่างประเทศ และเป็นผู้มีส่วนสำคัญในแผนการเติบโตของเรา”
HSBC ตกลงที่จะขายสาขาในฝั่งอีสเทิร์นซีบอร์ดจำนวน 80 แห่ง ซึ่งมีฐานลูกค้า 8 แสนราย เงินฝาก 9.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเงินกู้ 2.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับ Citizens Financial Group of Providence ขณะธุรกิจในฝั่งตะวันตกจำนวน 10 สาขา ซึ่งมีเงินฝาก 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และเงินกู้ 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จะขายให้กับธนาคาร Cathay ในลอสแอนเจลิส
โดยธนาคาร HSBC ไม่เปิดเผยเงื่อนไขของข้อตกลง ซึ่งคาดว่าจะสรุปได้ภายในเดือนมีนาคมปีหน้า
การออกจากธุรกิจ Retail Banking ถือเป็นการปิดฉากความพยายามเกือบสี่ทศวรรษของ HSBC ในการบุกประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก่อนหน้านี้ HSBC ได้ปิด Consumer Finance Business ของสหรัฐฯ ในปี 2009 หลังจากนั้นได้ขายเครือข่ายสาขาและธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งหนึ่งในสหรัฐฯ ช่วงปี 2011 และปิดสาขาเพิ่มอีก 80 สาขาในปีที่แล้ว
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ผู้บริหารระดับสูงและคณะกรรมการของธนาคารได้พยายามเพิ่มผลกำไรในธุรกิจ Retail Banking ทว่าการกระทำเหล่านั้นกลับเปล่าประโยชน์ เพราะไม่มีธุรกิจบัตรที่ให้อัตรากำไรในระดับสูง ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำนับตั้งแต่วิกฤตการเงินโลก ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของต้นทุนพนักงานและกฎระเบียบ ทำให้อัตรากำไรลดลงเป็นอย่างมาก
นอกเหนือจากสหรัฐฯ แล้ว HSBC ยังอยู่ระหว่างการขายธุรกิจรีเทลในฝรั่งเศส ซึ่งเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2019 ขณะนี้อยู่ในช่วงสุดท้าย เนื่องจาก Cerberus เป็นผู้สมัครรายสุดท้ายที่เหลืออยู่ในการซื้อสินทรัพย์
ขณะเดียวกัน HSBC กำลังลงทุนเพิ่มเติมอีก 6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในการบริหารความมั่งคั่งเพื่อให้บรรลุการเติบโต ‘เลขสองหลัก’ ในภูมิภาคเอเชีย เมื่อเดือนที่แล้วยอดบริหารความมั่งคั่งในเอเชียเพิ่มขึ้น 18% ในไตรมาสแรกจากปีก่อน โดย HSBC ได้เพิ่มพนักงาน Wealth Managers กว่า 600 คน รวมไปถึง 100 คนในจีนด้วย
ภาพ: Alex Tai/SOPA Images/LightRocket via Getty Images
พิสูจน์อักษร: วรรษมล สิงหโกมล
อ้างอิง: