×

วิกฤตน้ำท่วม: เราจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร – เจาะลึกมาตรการรับมือฤดูฝนและแนวทางแก้ไขวิกฤตน้ำท่วมจากกรมชลประทาน [PR NEWS]

โดย THE STANDARD TEAM
23.09.2024
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

  • น้ำท่วมภาคเหนือรุนแรงกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีฝนตกย้ำที่เดิม ทำให้ปริมาณน้ำฝนเพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อนๆ
  • ความท้าทายของกรมชลประทานคือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ ‘ระเบิดฝน หรือ Rain Bomb’ ฝนตกหนักเฉพาะจุดในระยะเวลาอันสั้น เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ถึงแม้จะระบุพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมได้ แต่การคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนที่เทกระหน่ำยังคงซับซ้อนและเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
  • ‘การบูรณาการ’ เป็นกุญแจสำคัญในการป้องกันอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“น้ำท่วมภาคเหนือรุนแรงขึ้นทุกปี กรมชลประทานต้องเผชิญกับความท้าทายในการรับมือ”

 

สถานการณ์น้ำท่วมในภาคเหนือของประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาทวีความรุนแรงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเป็นวงกว้าง เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์และแนวทางการแก้ไขปัญหา วันนี้ THE STANDARD พาไปพูดคุยกับ นายเดช เล็กวิชัย รองอธิบดีกรมชลประทาน เจาะลึกสาเหตุของปัญหาน้ำท่วม มาตรการรับมือก่อนน้ำมา และแนวทางการแก้ไขวิกฤตน้ำท่วมทั้งระยะสั้นและระยะยาวของกรมชลประทาน

 

ภาพรวมของปัญหาน้ำท่วมภาคเหนือในปัจจุบัน

 

“ปีนี้ฝนตกย้ำที่เดิมในปริมาณที่มากกว่า 2-3 ปีที่แล้ว ทำให้เกิดอุทกภัยรุนแรงกว่าเดิม” 

 

 

รองฯ เดชเล่าถึงสถานการณ์น้ำท่วมภาคเหนือในปัจจุบัน ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากพายุยางิที่พัดผ่านประเทศเมียนมา ประกอบกับปริมาณฝนในประเทศไทยที่มากกว่าปกติตั้งแต่ช่วงเข้าสู่ฤดูฝน ทำให้ฝนตกหนักติดต่อกัน โดยปริมาณน้ำฝนเพิ่มสูงขึ้นจนล้นตลิ่งในลำน้ำนานาชาติ เช่น แม่น้ำสาย แม่น้ำกก และแม่น้ำโขง ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมบ้านเรือน ถนน สะพาน และอาคาร รวมไปถึงพื้นที่เกษตรกรรม อย่างกว้างขวาง และยิ่งทวีคูณความรุนแรงมากกว่าปีก่อนๆ

 

นอกจากนั้นยังมีอีกหนึ่งปัจจัย คือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สภาวะโลกร้อนทำให้เกิดปรากฏการณ์ฝนตกหนักในระยะเวลาอันสั้น หรือที่เรียกว่า ‘ระเบิดฝน หรือ Rain Bomb’ ซึ่งถึงแม้จะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันแล้วหายไปอย่างรวดเร็ว เช่น จังหวัดน่าน เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้ทางกรมชลประทานจะคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม แต่การคาดการณ์ปริมาณน้ำฝนจาก Rain Bomb ยังคงซับซ้อนและมีความไม่แน่นอนสูง

 

สิ่งเหล่านี้ถือเป็นความท้าทายของกรมชลประทานที่ต้องเตรียมความพร้อม และปรับปรุงแผนงานในการรับมือกับน้ำท่วมจากฝนที่เทกระหน่ำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

 

กรมชลประทาน ป้อมปราการรับมือน้ำท่วม

 

รองฯ เดชเปิดเผยว่า กรมชลประทานเร่งดำเนินมาตรการที่หลากหลายเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วม หากพื้นที่ใดมีเครื่องมือก็จะสามารถเข้าไปจัดการผันน้ำได้อย่างรวดเร็วและทันเวลา แต่ในกรณีน้ำท่วมจังหวัดเชียงราย ซึ่งไม่มีเครื่องมือผันน้ำ จึงเข้าไปมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูเมื่อระดับน้ำลดลง โดยเร่งระบายน้ำจากพื้นที่ลงสู่แม่น้ำให้เร็วที่สุด 

 

 

นอกจากนี้กรมชลประทานยังสร้างคันกั้นน้ำเพื่อควบคุมการเคลื่อนที่ของน้ำในพื้นที่ อีกทั้งยังติดตามและปรับปรุงมาตรการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

 

 

คาดการณ์-ปรับปรุง-เร่งแจ้งเตือนประชาชน แผนเตรียมพร้อมรับมือก่อนน้ำท่วม

 

เมื่อถามถึงแผนการเตรียมตัวรับมือในฤดูฝนก่อนเกิดน้ำท่วม รองฯ เดชเล่าให้ฟังเป็นลำดับขั้นว่า 

 

“เริ่มจากการคาดการณ์พื้นที่เสี่ยง โดยกรมชลประทานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณฝนคาดการณ์ 3-6 เดือนล่วงหน้า และพัฒนาระบบพยากรณ์น้ำท่วมโดยใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์”

 

 

หลังจากนั้นจะระบุพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมและฝนทิ้งช่วง รวมทั้งวางแผนปรับปรุงแนวทางการบริหารจัดการน้ำในแหล่งน้ำและอาคารควบคุมบังคับน้ำ นอกจากนี้ยังขุดลอกและกำจัดวัชพืชรวมถึงสิ่งกีดขวางในทางน้ำ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบายน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น 

 

ในส่วนของการแจ้งเตือนพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมให้กับประชาชน รองฯ เดชแจ้งว่า “จะประสานงานไปยังหน่วยงานในพื้นที่และแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบล่วงหน้า 3 วัน แต่ในอนาคตควรพิจารณาการแจ้งเตือนผ่าน SMS เพื่อให้ประชาชนพร้อมรับมือกับน้ำท่วมได้อย่างทันท่วงที” 

 

ยิ่งไปกว่านั้นกรมชลประทานยังเตรียมความพร้อมด้านทรัพยากรและซักซ้อมแผนเผชิญเหตุ โดยจัดเตรียมเครื่องจักร อุปกรณ์ อาคารชลศาสตร์​ และระบบโทรมาตร พร้อมจัดส่งบุคลากรประจำพื้นที่เสี่ยงและเตรียมศูนย์อพยพให้พร้อมรับมือกับสถานการณ์น้ำหลากและฝนทิ้งช่วง

 

พัฒนาระบบการคาดการณ์-สร้างเส้นทางอ้อมน้ำ แผนรับมือระยะยาวต่ออุทกภัย

 

เพื่อเตรียมตัวรับมือกับความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติที่คาดไม่ถึงในอนาคต รองฯ เดชเห็นว่า จำเป็นต้องพัฒนาระบบคาดการณ์ปริมาณน้ำให้มีความแม่นยำขึ้น เพื่อให้สามารถผันน้ำไปตามโครงสร้างที่มีอยู่เดิมอย่างเป็นระบบ 

 

โดยทางกรมชลประทานได้กำหนดมาตรการตรวจสอบและติดตามความมั่นคงของโครงสร้างเดิม เช่น คันกั้นน้ำ ทำนบและพนังกั้นน้ำ อยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจในประสิทธิภาพการป้องกันน้ำท่วม

 

 

อย่างไรก็ตามหากปริมาณน้ำมีแนวโน้มที่ล้นเกินกว่าจะรับไหวจะเร่งพัฒนาและกักเก็บน้ำเพิ่มเติม รวมถึงพิจารณาสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติมเพื่อรองรับปริมาณน้ำที่เพิ่มมากขึ้น และหาแนวทางการสร้างเส้นทางน้ำอ้อมจังหวัด เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วมในจุดเดิมซ้ำอีก

 

‘การบูรณาการ’ กุญแจสำคัญในการป้องกันอุทกภัยอย่างยั่งยืน

 

รองฯ เดชย้ำว่า การป้องกันภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพจะต้องมี ‘การบูรณาการระดับภูมิภาค’ โดยอาศัยการแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในด้านการตรวจวัดปริมาณน้ำฝนและน้ำในลำน้ำ รวมถึงการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพระหว่างกันเพื่อให้รับมือกับสถานการณ์น้ำที่กำลังไหลเข้ามาได้อย่างทันเวลา

 

นอกจากนี้ยังคงต้องมุ่งเน้นการสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลในระดับจังหวัด รวมไปถึงการสร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายภาคประชาชน โดยส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังและแจ้งเตือนสถานการณ์น้ำในพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนทุกภาคส่วน

 

 

รองฯ เดชกล่าวสรุปอย่างมีนัยสำคัญว่า “ปัญหาน้ำท่วมในภาคเหนือเป็นความท้าทายที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการแก้ไขอย่างรอบคอบ กรมชลประทานพยายามอย่างเต็มที่ในการแก้ไขปัญหานี้ แต่ยังต้องการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงภาคประชาชน เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืนมากที่สุด”

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X