หนี้เสียสินเชื่อบ้านพุ่ง 28% ในไตรมาส 3 ด้านสภาพัฒน์ห่วง แนวโน้มการผิดนัดชำระหนี้บ้านที่เร่งตัวขึ้น โดยเฉพาะบ้านที่มีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 3 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่ารายได้ของครัวเรือนบางกลุ่มยังไม่ฟื้นตัว และสถานะทางการเงินยังตึงตัว จากการเลือกที่จะผิดนัดชำระหนี้บ้านก่อนสินเชื่อประเภทอื่น แม้ว่าบ้านจะถือเป็นสินทรัพย์จำเป็น
ตามข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) แสดงให้เห็นว่า ในไตรมาส 3 ปี 2567 ยอดคงค้างสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เป็นหนี้เสีย (NPL) อยู่ที่ 2.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากปีก่อน (YoY) นับว่าเร่งตัวขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ซึ่งมีอัตราการขยายตัวของ NPL สินเชื่อที่อยู่อาศัยอยู่ที่ 23.2% (YoY)
ขณะที่เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ระบุว่า จากข้อมูลของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) แสดงให้เห็นว่ามูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่เป็นหนี้เสีย (Housing NPL) หรือหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วันที่ ‘เพิ่มขึ้น’ สะท้อนให้เห็นว่าผู้คนเริ่มเลือกที่จะผิดนัดชำระหนี้บ้านที่ถือเป็นสินทรัพย์จำเป็น ทั้งต่อการอยู่อาศัยและบางส่วนยังใช้เป็นสถานที่ในการประกอบอาชีพ สะท้อนให้เห็นถึงสถานะทางการเงินของครัวเรือนที่ตึงตัว
ทั้งนี้ ตามผลการศึกษาของสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เรื่อง ‘เข้าใจลำดับการผิดนัดชำระหนี้ครัวเรือนไทยจากข้อมูลเครดิตบูโร’ เมื่อปี 2566 พบว่าลูกหนี้ที่มีการก่อหนี้หลายประเภทเกือบ 1 ใน 3 เลือกที่จะผิดนัดชำระหรือหยุดชำระสินเชื่อบ้าน ก่อนสินเชื่อบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคล เนื่องจากมีความสามารถในการชำระหนี้จำกัด จึงเลือกรักษาวงเงินที่เหลือในสินเชื่อบัตรเครดิตหรือสินเชื่อส่วนบุคคลไว้จับจ่ายใช้สอยแทน
นอกจากนี้เมื่อพิจารณาหนี้เสียของสินเชื่อที่อยู่อาศัยจำแนกตามวงเงินสินเชื่อในไตรมาส 2 ปี 2567 จากฐานข้อมูลเครดิตบูโร จะพบว่าวงเงินต่ำกว่า 3 ล้านบาทมีสัดส่วนหนี้เสียสูงเมื่อเปรียบเทียบกับวงเงินอื่น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าครัวเรือนกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่ยังไม่ฟื้นตัว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเร่งแก้ไขปัญหาหนี้เสียข้างต้น เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อเสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว