ลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ชี้แจงประเด็นหนี้ครัวเรือนของประเทศไทย ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2562 ว่า
“ระดับหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2562 อยู่ที่ 12.97 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 78.7% ต่อ GDP โดยหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่เป็นสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ (42.8%) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (28.4%) และหนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันและมีวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อสินทรัพย์ เช่น อสังหาริมทรัพย์ (29.2%) รถยนต์และรถจักรยานยนต์ (15.4%) นอกจากนี้ยังมีสินเชื่อเพื่อการดำเนินธุรกิจ (16.4%) สหกรณ์ (15.6%) และสินเชื่ออื่นๆ (17.1%) ทั้งนี้หากไม่รวมหนี้ที่ครัวเรือนกู้ยืมไปเพื่อทำธุรกิจ หนี้ครัวเรือน ณ ไตรมาส 1 ปี 2562 จะอยู่ที่ 10.84 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 65.8% ต่อ GDP”
แม้ว่าระดับหนี้ครัวเรือน ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2562 ของไทยจะอยู่ในระดับสูง แต่ถือได้ว่าลดลงเมื่อเทียบกับระดับหนี้ครัวเรือนที่เคยสูงสุดที่ 81.2% ต่อ GDP เมื่อปี 2558
กระทรวงการคลังประเมินว่าสถานการณ์หนี้ครัวเรือนยังไม่เป็นประเด็นที่น่ากังวล เนื่องจาก
- หนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้ที่มีสินทรัพย์เป็นหลักประกัน เช่น ที่พักอาศัย รถยนต์ ซึ่งหากมองว่าหนี้เหล่านี้เป็นไปเพื่อการสะสมความมั่งคั่งในรูปสินทรัพย์และเพื่อการลงทุนทําธุรกิจหารายได้แล้ว ก็จะส่งผลดีต่อความมั่นคงทางทรัพย์สินและรายได้ของครัวเรือนด้วย
- หนี้ครัวเรือนบางส่วนใช้เพื่อประกอบธุรกิจของครัวเรือน ซึ่งถือเป็นสินเชื่อที่สร้างรายได้ให้ครัวเรือน โดยเมื่อหักสินเชื่อธุรกิจนี้ออก ระดับหนี้ครัวเรือนของไทยจะลดลงอยู่ที่ 65.8% ของ GDP
- สัดส่วนหนี้ครัวเรือนเพื่อการบริโภค เช่น สินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิต อยู่ในระดับต่ำเพียง 6.3% ของหนี้ครัวเรือนทั้งหมด
- สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ของหนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับที่ต่ำที่ 3.3% ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2562
อย่างไรก็ตาม สำนักงานเศรษฐกิจการคลังได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์หนี้ครัวเรือนของไทยอย่างใกล้ชิด เพราะหากหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นสูงมากเกินไปอาจจะส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินของระดับครัวเรือนและเสถียรภาพของเศรษฐกิจได้
นอกจากนี้กระทรวงการคลังจะให้ความสำคัญในการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชน และใช้จ่ายให้เหมาะสมกับตนเองอย่างจริงจังและทั่วถึง ปัจจุบันธนาคารออมสินได้ดำเนินโครงการเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการบริหารการเงิน การออม และบัญชีพอเพียง ผ่านโครงการการออมและการบริหารหนี้ที่สมดุลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีมีสุข และโครงการสำหรับเด็กและเยาวชนในโรงเรียนและสถาบันการศึกษา ผ่านโครงการธนาคารโรงเรียน และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) มีโครงการให้ความรู้ทางการเงินแก่เกษตรกรและกลุ่มวิสาหกิจชุมชนทั่วประเทศผ่านโครงการสร้างสังคมแห่งปัญญา ผ่านศูนย์เรียนรู้เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ธ.ก.ส. ซึ่งมีหลักสูตรการทำบัญชีครัวเรือน การสร้างรายได้ให้เพียงพอต่อการดำรงชีพ การออม การชำระหนี้ ความรู้ในการประกอบอาชีพที่เหมาะสม การดำเนินโครงการธนาคารโรงเรียน นอกจากนี้จะให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเข้ามามีบทบาทในการดูแลการปรับโครงสร้างหนี้มากขึ้น