สำรวจมุมมองนักวิเคราะห์ต่อกลุ่มโรงพยาบาล พบว่ามีมุมมองเป็นบวกต่อผลการดำเนินงานในปี 2564 จากปัจจัยสนับสนุนจาก 1. วัคซีนทางเลือกจะทำให้โรงพยาบาลขนาดใหญ่รับอานิสงส์จากการเป็นตัวแทนนำเข้าวัคซีนทางเลือก และ 2. การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3 ที่แพร่ระบาดอย่างหนักทำให้โรงพยาบาลขนาดเล็กมีอัตราการเข้าใช้บริการเพิ่มจากการเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19
ถกล บรรจงรักษ์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า มีมุมมองเป็นบวกต่อกลุ่มโรงพยาบาลทั้งกลุ่ม เชื่อว่าผลประกอบการทั้งปี 2564 จะมีการเติบโตได้ดี เช่นเดียวกับในระยะสั้นที่แนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/64 ก็จะดีกว่าทั้ง QoQ และ YoY
กลุ่มโรงพยาบาลขนาดใหญ่มีความน่าสนใจตรงที่เป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับโควต้ากระจายวัคซีนทางเลือกมาฉีดให้กับประชาชน ซึ่งแม้จะเป็นรายได้เพียงครั้งเดียวแต่ก็ทำให้เกิดการเข้ารับบริการที่เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน โดยหุ้นที่น่าสนใจประกอบด้วย BCH, VIBHA และ THG
ขณะที่โรงพยาบาลขนาดเล็กจะได้รับอานิสงส์จากการเข้าใช้บริการของประชาชนในท้องที่ ซึ่งแม้จะไม่ได้รับโควต้ากระจายวัคซีนทางเลือก แต่ก็มีบริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เข้ามาเสริมอยู่ตลอด โดยจากการเข้ารับฟังข้อมูลจากผู้บริหาร พบว่าส่วนมากแล้วอัตราการให้บริการ (Utilization Rate) ของโรงพยาบาลขนาดเล็กเพิ่มขึ้นในช่วงการแพร่ระบาด โดยเฉพาะระลอก 3 โดยหุ้นโรงพยาบาลขนาดเล็กที่น่าสนใจ ประกอบด้วย IMH และ EKH
“โดยรวมเรายังคง Overweight หุ้นกลุ่มโรงพยาบาลทั้งกลุ่ม เนื่องจากเชื่อว่าผลประกอบการจะดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และไตรมาส 2 นี้ก็น่าจะได้เห็นการเติบโตที่โดดเด่น ปัจจัยหลักๆ มาจากการเข้ารับบริการเพิ่มขึ้นท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาด ขณะเดียวกันในระยะยาวเมื่อสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้แล้วและกลับสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจปกติ กลุ่มโรงพยาบาลก็จะได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศอีกครั้ง”
ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) เผยแพร่บทวิเคราะห์ ระบุว่า ปัจจัยเรื่องวัคซีนทางเลือกเป็นรายการครั้งเดียวสำหรับโรงพยาบาลเอกชน โดยทางสมาคมโรงพยาบาลเอกชนแห่งประเทศไทยคาดว่าจะมีวัคซีนทางเลือกทั้งหมด 5-10 ล้านโดส และแต่ละโดสอาจมีราคาอยู่ที่ 1,500 บาท และส่วนต่างอาจอยู่ที่ 30%
ฝ่ายวิจัยสันนิษฐานว่า 10% ของประชาชนจะเลือกฉีดวัคซีนที่โรงพยาบาลเอกชน (10 ล้านโดสจาก 100 โดส ทั้งหมดจะฉีดภายในสิ้นปี 2564) และเชื่อว่าประเด็นนี้จะเพิ่มผลกำไรให้ BCH ได้มากที่สุด 13% ในปี 2564 ตามด้วย BDMS 11%, CHG 6% และ BH 5%
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการฉีดวัคซีนเอกชนเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ไม่ส่งผลอย่างมีนัยยะต่อราคาเป้าหมาย หรือคิดเป็นอัปไซด์น้อยกว่า 1%
ฝ่ายวิจัยลดคำแนะนำ BCH เป็นขาย (จากถือ) และ CHG เป็นถือ โดยราคาหุ้นของโรงพยาบาลประกันสังคมที่โดดเด่นทั้ง 2 แห่ง พุ่งขึ้น 53.1% และ 45.1%YTD ตามลำดับ จากรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ในครึ่งแรกของปี2564 และการฉีดวัคซีนโดยโรงพยาบาลเอกชนที่จะเกิดขึ้นในไตรมาส 3 หรือ 4/64 ทว่ายังมีความไม่แน่นอนสูงเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโดยโรงพยาบาลเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่วัคซีนมีมากพอ
โดยมองว่าหากเลื่อนไปเป็นไตรมาส 4/64 ความต้องการการฉีดวัคซีนอาจน้อยกว่าในไตรมาส 3 เนื่องจากผู้ป่วยจำนวนมากจะเลือกฉีดวัคซีนฟรี
นอกจากนี้ ยังชอบ BH และ BDMS ที่ราคายังขึ้นไม่มาก เพราะเชื่อว่าจะได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยต่างชาติกลับมาได้ โดยผู้ป่วยต่างประเทศของ BH คิดเป็น 67% ของรายได้ และ BDMS สัดส่วน 30%
ขณะที่ฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ ยังคงมองบวกกับแนวโน้มผลประกอบการของ BCH ในไตรมาส 2/64 ซึ่งสอดคลองกับมุมมองของทางบริษัท ในการประชุมนักวิเคราะห์รอบนี้ที่ผู้บริหารมองบวกกับแนวโน้มผลการดำเนินงานโดยรวมในไตรมาส 2/64 ซึ่งจะถูกขับเคลื่อนโดยการระบาดระลอก 3 ของโควิด-19 ที่เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน โดยยอดผู้ติดเชื้อยังคงอยู่ในระดับสูง (>2,000 รายต่อวัน)
โดย BCH คาดว่าอุปสงค์การตรวจโควิด-19 จะแข็งแกร่งอยู่ที่ประมาณ 500,000 ราย จาก 128,800 รายใน 1Q21 นอกจากน้ีจำนวนผู้ที่มาใช้บริการ ASQ และ AHQ ก็มีจำนวนสูงถึง 2,200 รายต่อวัน ซึ่งต้องพักอยู่ในโรงพยาบาลไม่ต่ำกว่า 14 วัน
ขณะเดียวกันวัคซีนทางเลือกสําหรับโควิด-19 เป็นโอกาสสร้างการเติบโตได้ในระยะยาว โดยผู้บริหารเปิดเผยว่าโรงพยาบาลเอกชนยังคงเดินหน้าจัดหาวัคซีนทางเลือกต่อไป โดยแบรนด์แรกที่จะนำเข้ามาในประเทศไทยคือ Moderna ซึ่งผ่านการอนุมัติของ อย. ประเทศไทยแล้ว และคาดว่าจะเริ่มนำมาฉีดได้อย่างเร็วที่สุดในไตรมาส 3/64
นอกจากนี้โรงพยาบาลเอกชนยังได้รับอนุญาตให้สามารถฉีดวัคซีนให้กับองค์กรที่มีพนักงานไม่น้อยกว่า 500 คน (บริษัท, หน่วยงานภาครัฐ หรือกิจการที่ทำงานในอาคารเดียวกัน) ที่ยื่นเรื่องขอมาที่โรงพยาบาล
พิสูจน์อักษร: ชนเนตร ลอยครุฑ