“ผมไม่แคร์ว่าใครจะว่าเราเป็นคนที่ไม่รู้จักตัดใจและยึดติดอยู่กับตรงนี้ เพราะว่าผมเป็นอย่างนั้นจริงๆ ผมตัดใจไม่ได้”
คือหนึ่งในประโยคที่ทำให้หลายคนฟังแล้วไม่สบายใจ จากเรื่อง Hope Frozen: A Quest to Live Twice แต่นับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยยืนยันกับเราและผู้ชมทุกคนข้อหนึ่งว่า ‘ความรัก’ ยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดในโลกจริงๆ
Hope Frozen: A Quest to Live Twice พาผู้ชมไปร่วมติดตามเรื่องราวของครอบครัวชาวไทยที่ตัดสินใจพาร่างของ น้องไอนส์ เด็กหญิงวัย 2 ขวบ ที่เสียชีวิตจากโรคมะเร็งสมองที่ร้ายแรงที่สุดในโลก ไปรักษาร่างไว้ด้วยกระบวนการไครโอนิกส์ หรือการเก็บรักษาด้วยการแช่แข็ง โดยเก็บรักษาอวัยวะส่วนศีรษะและสมองไว้ภายในแทงก์ที่รัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ด้วยความหวังว่าสักวันหนึ่งน้องไอนส์จะตื่นขึ้นมาอีกครั้งในวันที่หาวิธีรักษาได้ในอนาคต
แม้ว่า Hope Frozen: A Quest to Live Twice จะใช้กลวิธีการเล่าเรื่องที่ค่อนข้างเนิบช้าพอสมควร แต่ ไพลิน วีเด็ล ผู้กำกับหญิงชาวไทย ได้เลือกใช้ประโยชน์จากความเนิบช้า เพื่อค่อยๆ พาผู้ชมไปทำความรู้จักครอบครัวของน้องไอนส์อย่างละเมียดละไม ใกล้ชิดมากที่สุด เพื่อทำความเข้าใจทุกห้วงอารมณ์ความรู้สึกของคนในครอบครัว
สารคดีแบ่งการเล่าเรื่องออกเป็น 4 ช่วงใหญ่ๆ ได้แก่ พาเราไปทำความรู้จักกับน้องไอนส์ตั้งแต่แรกเกิดผ่านการบอกเล่าของสมาชิกในครอบครัวทั้ง 3 คน ได้แก่ ดร.สหธรณ์ พ่อผู้เป็นนักวิทยาศาสตร์ ดร.นารีรัตน์ ผู้เป็นแม่ และ เมทริกซ์ ผู้เป็นพี่ชายที่หลงใหลในวิทยาศาสตร์ ก่อนที่ในช่วงที่ 2 จะบอกเล่าช่วงเวลาที่น้องไอนส์ตรวจพบว่าป่วยเป็นโรคมะเร็งเนื้องอกประสาทส่วนกลาง ซึ่งถือเป็นโรคมะเร็งสมองชนิดที่ร้ายแรงที่สุดในโลก
ช่วงที่ 3 สารคดีพาเราไปทำความรู้จักกับกระบวนการไครโอนิกส์ หรือการเก็บรักษาด้วยการแช่แข็ง ก่อนที่ในช่วงสุดท้ายสารคดีจะพาเราไปติดตามเรื่องราวของครอบครัวทุกคนหลังจากที่น้องไอนส์ได้เข้าสู่กระบวนการไครโอนิกส์และถูกส่งตัวไปยังรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา เป็นที่เรียบร้อย ไปพร้อมๆ กับสำรวจทุกความรู้สึกของครอบครัวในทุกช่วงเวลา
ซึ่งการเล่าเรื่องของผู้กำกับที่แบ่งการเล่าเรื่องทั้งหมดออกเป็นส่วนๆ ทำให้เราสามารถทำความเข้าใจเรื่องราวของน้องไอนส์และครอบครัวได้อย่างครบถ้วน รวมถึงยังช่วยให้ผู้ชมเข้าใจถึงที่มาและขั้นตอนของกระบวนการไครโอนิกส์ได้อย่างไม่ซับซ้อนจนเกินไป
นอกจากนี้การนำบันทึกวิดีโอส่วนตัวของ ดร.สหธรณ์ และครอบครัว มาฉายให้เราได้ชมควบคู่ไปกับการสัมภาษณ์ ก็ยิ่งช่วยให้เราได้เห็นมุมมองและความรู้สึกของคนในครอบครัวได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นอีกด้วย
นอกจากพาเราไปติดตามเรื่องราวของน้องไอนส์และครอบครัวแล้ว สารคดีเรื่องนี้ยังพาเราไปพบกับสองสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงระหว่างวิทยาศาสตร์ที่มาพร้อมกับหลักเหตุและผล กับไสยศาสตร์และความเชื่อของคนไทยที่ตั้งคำถามถึง ‘ความถูกต้อง’ ในการตัดสินใจของครอบครัวที่พาร่างของน้องไอนส์เข้าสู่กระบวนการไครโอนิกส์ เพื่อหวังว่าเทคโนโลยีในอนาคตจะช่วยชุบชีวิตน้องไอนส์ขึ้นมาอีกครั้ง
ถึงแม้ว่าหลายคนอาจจะยังต้องตั้งคำถามและถกเถียงกันในเรื่องเทคโนโลยีด้านวิทยาศาสตร์และความเชื่อด้านต่างๆ กันอย่างไม่รู้จบ แต่สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อว่าทุกคนน่าจะได้คำตอบคล้ายกันว่า ‘ความรัก’ คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
เพราะแม้บางครั้งอาจทำให้คนหนึ่งดูยึดติดและงมงาย แต่สามารถทำให้คนนั้นยอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่เรารักมากที่สุดในชีวิต แม้มองเห็นความหวังเพียงน้อยนิดก็ตาม
สามารถรับชมตัวอย่างภาพยนตร์สารคดี Hope Frozen: A Quest to Live Twice ได้ผ่านทาง
ภาพประกอบโดย
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล