×

เจาะลึกกลยุทธ์โรงแรมบัดเจ็ต HOP INN มุ่งสู่อันดับ 1 เอเชีย และตั้งเป้าเข้า IPO ภายในปี 2027 [ADVERTORIAL]

โดย THE STANDARD TEAM
30.10.2024
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

2 min read
  • โรงแรมฮ็อป อินน์ (HOP INN) โรงแรมบัดเจ็ตที่มุ่งมั่นสร้างโรงแรมมาตรฐานเดียวทุกที่ทุกประเทศดังแท็กไลน์ ‘Consistency is Yours’
  • แบรนด์แข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์เจาะอินไซต์ก่อนสร้างโปรดักต์ และรักษาฐานลูกค้าด้วยมาตรฐานสินค้าและบริการที่สม่ำเสมอ
  • โดดเด่นและแตกต่างด้วยการติดตามฟีดแบ็ก โมเดลธุรกิจยืดหยุ่น ข้อมูลที่พร้อม และดำเนินนโยบายความยั่งยืน
  • บุกตลาดฟิลิปปินส์ด้วยการลงตลาดด้วยตนเองและสร้างโปรดักต์ที่แตกต่าง
  • มุ่งสู่ระดับเอเชียด้วยการตั้งโรงแรมที่ญี่ปุ่นที่เมืองใหญ่อย่างโตเกียวและเกียวโตในทำเลใกล้แหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวก
  • ตั้งเป้าเป็นเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ตอันดับ 1 ในเอเชียแปซิฟิก ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) มากกว่า 15% ภายในปี 2030
  • ฮ็อป อินน์ พร้อม Spin-off เข้าตลาดหลักทรัพย์และทำการ IPO ภายในปี 2027 เจาะตลาดนักเดินทางหาความคุ้มค่าที่มีมาตรฐานเดียวกันทุกสาขา

โรงแรมบัดเจ็ต (Budget Hotel) เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับนักเดินทาง ด้วยราคาที่ย่อมเยาและเพียงพอต่อความต้องการ แต่ความท้าทายส่วนหนึ่งคือการรักษามาตรฐานเพื่อให้ลูกค้ามั่นใจและกลับมาใช้บริการอีก นั่นคือ Pain Point สำคัญที่ ‘โรงแรมฮ็อป อินน์ (HOP INN) โดยบริษัท เอราวัณ ฮ็อป อินน์ จำกัด มองเห็น และพัฒนาคุณภาพโรงแรมที่สะดวกสบาย เข้าออกง่ายในการไปทำกิจกรรมต่างๆ ด้วยมาตรฐานที่สม่ำเสมอในทุกสาขาทั้งในและต่างประเทศ

 

THE STANDARD พาไปพูดคุยและเจาะอินไซต์กับ นลินี กฤษฎาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจโรงแรม และ พิชานันท์ บุญพร้อมกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจโรงแรม บริษัท เอราวัณ ฮ็อป อินน์ จำกัด ในการพาโรงแรมฮ็อป อินน์ ไปสู่อันดับ 1 ระดับเอเชียแปซิฟิก ภายในปี 2030 และพาบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2027 ด้วยมาตรฐานที่สม่ำเสมอในโรงแรมทุกห้อง ทุกสาขาในทุกประเทศ ด้วยแท็กไลน์ที่สะท้อนตัวตนอย่าง ‘Consistency is Yours’

 

โรงแรมฮ็อป อินน์ (HOP INN) สาขาต่างๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ

 

ความสม่ำเสมอและมาตรฐานเดียว

 

ฮ็อป อินน์ ดำเนินธุรกิจมาครบ 10 ปี เป็นที่รู้จักในประเทศไทยเป็นวงกว้าง เปิดให้บริการแล้ว 57 สาขา ใน 43 จังหวัด โดยหลังจากเปิดบริการในไทยเพียง 2 ปีแรกก็สามารถขยายธุรกิจไปสู่ต่างประเทศได้คือประเทศฟิลิปปินส์ ปัจจุบันเปิดให้บริการทั้งหมด 10 สาขา ใน 3 เกาะสำคัญ ซึ่งทั้งสองประเทศเป็นที่ยอมรับเรื่องความสม่ำเสมอในทุกๆ สาขา ทำให้ต้นปี 2024 ฮ็อป อินน์ จะปักหมุดหมายใหม่ที่ประเทศญี่ปุ่นถึง 4 สาขา ในโตเกียวและเกียวโต

 

“เรามักได้เสียงตอบรับจากลูกค้าในความสม่ำเสมอของโรงแรมและการบริการ อีกทั้งโลเคชันของฮ็อป อินน์ ยังตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มาใช้บริการเราครั้งแรก และกลับมาใช้บริการอีก” นลินีกล่าวถึงผลตอบรับจากผู้ใช้บริการจริง ตรงกับความตั้งใจของแบรนด์ที่ต้องการสร้างโรงแรมที่ตอบโจทย์ 4 ข้อ คือ สะดวก สบาย สะอาด และมีราคาที่เหมาะสม

 

นลินี กฤษฎาวิวัฒน์

นลินี กฤษฎาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานบริหารธุรกิจโรงแรม บริษัท เอราวัณ ฮ็อป อินน์ จำกัด

 

“คาแรกเตอร์ของแบรนด์เรานอกจากความสม่ำเสมอที่เป็นมาตรฐานแล้ว ยังมีคุณสมบัติอีก 4 ด้าน คือ ความน่าเชื่อถือ (Reliable) ตรงความต้องการ (Efficiency) ความสดใส (Cheerful) และการเข้าถึงได้ง่าย (Approachable)” พิชานันท์กล่าวเสริมถึงคุณลักษณะของแบรนด์ที่ช่วยเสริมเรื่อง ‘ความสม่ำเสมอ’ ที่แบรนด์มุ่งเน้นตั้งแต่ Day One

 

พิชานันท์ บุญพร้อมกุล

พิชานันท์ บุญพร้อมกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาธุรกิจโรงแรม บริษัท เอราวัณ ฮ็อป อินน์ จำกัด

 

ความโดดเด่นและความแตกต่างในอุตสาหกรรมโรงแรม

 

ราคาที่เข้าถึงได้ง่ายเป็นจุดเด่นที่ชูอุตสาหกรรมโรงแรมบัดเจ็ตได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม การควบคุมคุณภาพไปพร้อมกับการควบคุมต้นทุนเป็นสิ่งที่ท้าทาย การสร้างความโดดเด่นและความแตกต่างไม่เหมือนใครคือสิ่งที่จะเกื้อหนุนให้ทั้งคุณภาพและราคาสมดุล

 

  1. การติดตามฟีดแบ็กลูกค้า

การแก้ไขฟีดแบ็กในการเข้ารับบริการของลูกค้าอย่างรวดเร็วคือมาตรฐานที่รักษาและพัฒนาตลอดของฮ็อป อินน์ ซึ่งจะมีทีมส่วนกลางที่คอยติดตามเพื่อแก้ไขแบบเรียลไทม์

 

  1. โมเดลธุรกิจที่ยืดหยุ่น

ฮ็อป อินน์ ถือเป็นโมเดลโรงแรมที่มีการลงทุนที่ยืดหยุ่นแบบ Lean Investment อย่างมาก เม็ดเงินลงทุนสามารถปรับได้ตามขนาดทำเลที่ตั้ง เช่น ในฟิลิปปินส์อาจมีจำนวนมากถึง 200 กว่าห้อง แต่ในประเทศไทยก็สามารถปรับไปที่ 60-130 ห้องได้ตามทำเลที่ตั้ง

 

  1. เพียบพร้อมด้วยข้อมูลภายในมือ

ฮ็อป อินน์ มีบริษัทแม่คือบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่มีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจโรงแรมตั้งแต่ระดับบัดเจ็ตไปจนถึงระดับ 5 ดาวมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี ทำให้ฮ็อป อินน์ เป็นโรงแรมที่ดำเนินธุรกิจด้วยอินไซต์และข้อมูล

 

  1. ดำเนินนโยบายความยั่งยืน

บริษัทมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจโรงแรมอย่างยั่งยืนในหลายมิติ ตั้งแต่การเลือกทำเลที่ตั้งที่ไม่ส่งผลกระทบต่อชุมชนและสภาพแวดล้อม การออกแบบที่คำนึงถึงการใช้วัสดุอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้แทนกระดาษในการบริหารจัดการข้ามประเทศ นอกจากนี้โรงแรมยังได้รับการรับรองมาตรฐาน Green Hotel และมีการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในหลายสาขา

 

กลยุทธ์เจาะอินไซต์เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า

 

ในทุกๆ ตลาดและประเทศที่ฮ็อป อินน์ ปักหมุดหมายไว้ แรกเริ่มที่ต้องทำคือการเจาะอินไซต์ลูกค้า สำหรับประเทศไทย การเดินทางในประเทศทั้งในเชิงท่องเที่ยวและเชิงธุรกิจมีสูงมาก แต่ความต้องการของทั้ง 2 กลุ่มที่เหมือนกันคือการเข้าออกจากที่พักไปจุดหมายปลายทางได้ง่ายและราคาโรงแรมที่จับต้องได้

 

จุดนี้สร้างความได้เปรียบและความแตกต่างให้กับฮ็อป อินน์ เป็นอย่างมาก ก่อนจะเสริมอัตลักษณ์ด้วยความสม่ำเสมอ ทั้งรูปแบบของตึก การบริการ พนักงาน ห้องพักที่สะอาด ปลอดภัย และมีราคาที่เหมาะสมในทุกๆ สาขาของโรงแรม

 

นลินีและพิชานันท์ได้กล่าวถึงการสร้างแบรนด์ว่า ทุกประเทศเริ่มต้นจากการลงตลาด เข้าใจอินไซต์ จากนั้นจึงสร้างโปรดักต์หรือโรงแรมขึ้นตามพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละที่ ซึ่งจะช่วยเติมเต็มความต้องการของลูกค้าด้วยบริการและโรงแรมที่มีมาตรฐานและความสม่ำเสมอเท่ากันในทุกสาขา ทำให้กลายเป็นชื่อเสียงและถูกพูดถึงในกลุ่มลูกค้า

 

 

การเริ่มบุกต่างประเทศที่แรกของฮ็อป อินน์ คือประเทศฟิลิปปินส์ ทั้งสองได้กล่าวกับ THE STANDARD ว่า การเจาะอินไซต์ในตลาดต่างประเทศอย่างฟิลิปปินส์ ทีมงานของฮ็อป อินน์ ลงไปในตลาดและศึกษาด้วยตนเอง จนได้อินไซต์ว่าตลาดฟิลิปปินส์มีคู่แข่งน้อยแต่มีดีมานด์สูง

 

เมื่อเข้าสู่ตลาดแล้ว การตลาดคือสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการในขั้นต่อมา ลูกค้ากว่า 70% ของฮ็อป อินน์ ที่ฟิลิปปินส์เป็นลูกค้าท้องถิ่น จึงดำเนินแผนการตลาดในทิศทางการสร้างรับรู้และการเจาะตลาดใหญ่ ทั้งพาร์ตเนอร์แบรนด์ในประเทศและเจาะลูกค้าเฉพาะกลุ่มผ่านโซเชียลมีเดียและ KOL ทำให้ฮ็อป อินน์ สร้างโปรดักต์ที่แตกต่างออกไป เพื่อเจาะตลาดด้วยความแตกต่างจนประสบความสำเร็จในตลาดภูมิภาค

 

โรงแรมฮ็อป อินน์ ที่ประเทศฟิลิปปินส์

 

ฮ็อป อินน์ บุกญี่ปุ่น เบิกทางสู่อันดับ 1 เอเชียแปซิฟิก

 

องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (Japan National Tourism Organization: JNTO) คาดการณ์ว่า ในรอบปี 2024 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า 33 ล้านคน และตั้งเป้าการขยายตัวสู่ 60 ล้านคน ภายในปี 2030

 

การเข้าไปในตลาดนี้ ฮ็อป อินน์ มองแผนการขยายโดยเน้นที่จุดแลนด์มาร์กสำคัญใน 2 เมืองหลัก คือโตเกียวและเกียวโต เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวนานาชาติ อย่างสาขาอาซากุสะที่ใกล้กับสถานที่ท่องเที่ยว วัดเซนโซจิ และย่านอุเอโนะที่เป็นที่นิยมสำหรับนักท่องเที่ยวเอเชีย

 

อีกหนึ่งอินไซต์ที่นำมาใช้ของฮ็อป อินน์ คือการสร้างห้องพักและการตกแต่งภายในที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวท้องถิ่น ทั้งการตกแต่งห้องพักในรูปแบบญี่ปุ่น การใช้เสื่อทาทามิที่สาขาเกียวโต และสาขาอาซากุสะที่มีห้องแบบกลุ่มหรือครอบครัวเพื่อตอบโจทย์กลุ่มนักท่องเที่ยวในเมืองหลวง

 

ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกล่าสุดที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าลง ทำให้คนทั่วโลกสนใจที่จะมาเยี่ยมเยือนญี่ปุ่นมากขึ้น ทำให้ฮ็อป อินน์ มีความตั้งใจที่จะขยายสาขาเพิ่มในอนาคตในทำเลแห่งโอกาสอย่างโอซาก้าและฟุกุโอกะที่เป็นเมืองหลักของการท่องเที่ยว และฮ็อป อินน์ ก็ยังพิจารณาเมืองรองในญี่ปุ่นไว้อีกด้วย เพื่อตอบสนองตลาดคนญี่ปุ่นที่มองหาที่พักในการเดินทางเพื่อทำงาน

 

มุ่งสู่ที่ 1 เอเชียแปซิฟิกภายใน 2030

 

ความมุ่งมั่นสู่อันดับ 1 ของเอเชียแปซิฟิกไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับฮ็อป อินน์ นลินีและพิชานันท์กล่าวกับ THE STANDARD ว่า การขึ้นเป็นแบรนด์ระดับสากลและเป็นที่รู้จักในเอเชียแปซิฟิก เป็นความตั้งใจแรกตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ ความสำเร็จในประเทศไทยในการเป็นแบรนด์ที่แข็งแรง มีเน็ตเวิร์กในหลายจังหวัด อีกทั้งความสำเร็จใน 10 สาขาในประเทศฟิลิปปินส์ ทำให้ฮ็อป อินน์ มีความมั่นใจในการขึ้นเป็นที่ 1 ของเอเชียแปซิฟิก

 

“เรามีความตั้งใจที่จะสร้างแบรนด์โรงแรมบัดเจ็ตที่มีมาตรฐานความสม่ำเสมอในเอเชียแปซิฟิก โดยปัจจุบันเรามีความตั้งใจที่จะขยายแบรนด์ของเราไปในประเทศอินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย ซึ่งเป็นประเทศมีการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีและมีดีมานด์การเดินทางในประเทศสูง” พิชานันท์กล่าว โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกถือเป็นตลาดที่มีการเดินทางภายในประเทศสูงมาก โดยมั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้ที่มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) มากกว่า 15% และขึ้นอันดับหนึ่งเครือข่ายโรงแรมบัดเจ็ตที่ดีที่สุดภายในปี 2030 ซึ่งปัจจุบันฮ็อป อินน์ มีลูกค้ามากถึง 2.5 ล้านคนต่อปี

 

 

Lombard ลงทุน 700 ล้านบาท เตรียม IPO ภายในปี 2027

 

นลินีและพิชานันท์กล่าวกับ THE STANDARD ถึงความตั้งใจในการพาฮ็อป อินน์ เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ SET ให้สำเร็จภายในปี 2027

 

ปัจจุบันแผนการลงทุนระยะยาวในการ Spin-off จากบริษัทแม่อย่างบริษัท ดิ เอราวัณ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น จากการมีพันธมิตรด้านกลยุทธ์อย่าง Lapis Hospitality Pte. Ltd. ที่บริหารจัดการโดยกองทุน Lombard Asia V, L.P. ที่เข้าลงทุน 16.09% กับฮ็อป อินน์ ด้วยมูลค่า 700 ล้านบาท ถือเป็นพาร์ตเนอร์ที่แข็งแกร่งและมีประสบการณ์มากมายในการลงทุนทั่วเอเชียแปซิฟิก ทำให้ฮ็อป อินน์ ลงทุนในประเทศใหม่ได้เร็วขึ้น เพิ่มโอกาสเข้าถึงการลงทุนแบบ Opportunistic Investments ได้ เพราะการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ จังหวะ ความเร็ว และความแม่นยำในการตัดสินใจสำคัญมาก

 

นอกจากนี้ฮ็อป อินน์ ได้วางแผนและตั้งเป้าขยายธุรกิจไว้ที่จำนวนโรงแรม 150 สาขา และ 14,000 ห้องพัก ด้วยเงินทุนรวมกว่า 10,000 ล้านบาท จนถึงปี 2030

 

“ฮ็อป อินน์ มีจุดเด่นในด้านความสม่ำเสมอและมีมาตรฐานเดียวกันในทุกสาขา ดังแท็กไลน์ที่สะท้อนตัวตนของเราอย่าง ‘Consistency is Yours’ ด้วยความตั้งใจในการสร้างโรงแรมที่สะอาด สะดวก ปลอดภัย ในราคาที่เหมาะสมให้แก่ลูกค้าในทุกๆ สาขา” นลินีกล่าว

 

“ในโอกาสครบรอบ 10 ปี เราอยากเชิญชวนให้ทั้งผู้ใช้บริการใหม่และเก่ามาสัมผัสกับประสบการณ์ความสม่ำเสมอของการบริการของโรงแรมฮ็อป อินน์ เนื่องในโอกาสครบรอบ 10 ปี เราได้จัดกิจกรรมสำหรับประเทศไทยคือ ฮ็อป อินน์ ฉลองครบรอบ 10 ปี ลุ้นทองทุกเดือน และกิจกรรมฮ็อป อินน์ Stay and Fly ที่ประเทศฟิลิปปินส์ สุดท้ายคือระบบสมาชิก HOP REWARD ที่สะสมคะแนนทุกคืนที่เข้าพัก และใช้พอยต์เป็นส่วนลดได้ทุกประเทศ” พิชานันท์กล่าวปิดท้าย

 

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X